ข้อบ่งใช้
ยา สโคโปลามีน ใช้สำหรับ
ยา สโคโปลามีน (Scopolamine) ลดการหลั่งของสารในอวัยวะบางส่วน เช่น กระเพาะอาหารและลำไส้ ยาสโคโปลามีนยังสามารถลดสัญญาณประสาท ที่กระตุ้นกระเพาะอาหารของคุณให้คุณอาเจียน
ยาสโคโปลามีนยังใช้เพื่อป้องกันอาการคลื่นไส้และอาเจียน ที่เกิดการเมายานพาหนะ (motion sickness) หรือยาชาที่ได้รับระหว่างการผ่าตัด
ยาสโคโปลามีนยังใช้เพื่อรักษาปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารหรือปัญหาเกี่ยวกับลำไส้บางประเภท กล้ามเนื้อกระตุก สภาวะที่คล้ายกับโรคพาร์กินสัน (Parkinson)
วิธีการใช้ยา สโคโปลามีน
ควรทำตามแนวทางทั้งหมดบนฉลาก อย่าใช้รับประทานขนาดที่มากกว่า น้อยกว่า หรือนานกว่าที่แนะนำ
รับประทานยาพร้อมกับดื่มน้ำอย่างน้อยหนึ่งแก้ว
คุณสามารถรับประทานยาสโคโปลามีน พร้อมกับอาหารหรือรับประทานแยกต่างหาก็ได้
หากคุณใช้ยาสโคโปลามีน เพื่อรักษาสภาวะที่คล้ายกับโรคพาร์กินสัน อย่าหยุดใช้ยานี้อย่างกะทันหัน การหยุดใช้ยาอย่างกะทันหันอาจทำให้สภาวะนั้นรุนแรงขึ้น
การเก็บรักษายาสโคโปลามีน
ยาสโคโปลามีนควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาสโคโปลามีนบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัย โปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่ควรทิ้งยาสโคโปลามีนลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โปรดสอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาสโคโปลามีน
ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์ทราบหาก
- คุณกำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร เนื่องจากในช่วงที่คุณกำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ควรใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำเท่านั้น
- หากคุณกำลังใช้ยาอื่นอยู่ รวมทั้งยาที่หาซื้อได้เอง เช่น สมุนไพรหรือยาทางเลือกอื่นๆ
- หากคุณแพ้สารออกฤทธิ์หรือไม่ออกฤทธิ์ของยาสโคโปลามีน หรือยาอื่นๆ
- หากคุณมีอาการป่วย มีความผิดปกติ หรือมีสภาวะทางการแพทย์อื่นๆ
คุณไม่ควรใช้ยานี้หากคุณเป็นโรคภูมิแพ้ต่อยาสโคโปลามีนหรือยาที่คล้ายกัน เช่น เมทสโคโพลามีน (methscopolamine) หรือไฮออสไซยามีน (hyoscyamine) หรือหากคุณเป็นโรค
- โรคต้อหินมุมปิด
- ลำไส้อุดตัน
- ความผิดปกติเกี่ยวกับการหายใจอย่างรุนแรง
- หากคุณไม่สามารถปัสสาวะได้
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้
ยาสโคโปลามีนจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด C โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
- A= ไม่มีความเสี่ยง
- B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C= อาจจะมีความเสี่ยง
- D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
- X= ห้ามใช้
- N= ไม่ทราบแน่ชัด
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยาสโคโปลามีน
โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากคุณมีอาการ
- ปัสสาวะน้อยหรือไม่ปัสสาวะเลย
- หัวใจเต้นเร็วหรือรัว
- สับสน
- หวาดระแวง
- กลืนลำบาก
ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปอาจมีดังนี้
- ปากแห้ง กระหายน้ำเพิ่มขึ้น
- ผิวแห้ง
- ท้องผูก
- มีอาการปวดขณะปัสสาวะหรือปัสสาวะติดขัด
- ง่วงซึม
- วิงเวียน
- รู้สึกร้อนรน
- มองเห็นไม่ชัด รูม่านตาขยาย ดวงตามีปฏิกิริยาไวต่อแสงมากขึ้น
ผลข้างเคียงนี้มักจะเกิดขึ้นได้บ่อยกว่าในผู้สูงอายุ
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้ และอาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ยาสโคโปลามีนอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ยาที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้ได้แก่ยาโพแทสเซียมแบบยาเม็ดหรือยาแคปซูล ยาพรามลินไทด์ (pramlintide)
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยาสโคโปลามีนอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
ยาสโคโปลามีนอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
โรคที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้ได้แก่
- โรคต้อหิน
- ต่อมลูกหมากโต กระเพาะปัสสาวะอุดตัน หรือปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะ
- ปัญหาเกี่ยวกับหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร หรือลำไส้
- โรคไต
- โรคตับ
- โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง
- โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease) หลอดเลือดแดงแข็งตัว
- ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Overactive thyroid)
- โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอ็มจี (Myasthenia gravis)
- โรคหอบหืดหรือปัญหาเกี่ยวกับการหายใจอื่นๆ
- เคยมีการบาดเจ็บที่ศีรษะหรือโรคเนื้องอกในสมอง
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาสโคโปลามีนสำหรับผู้ใหญ่
สำหรับอาหารคลื่นไส้อาเจียน
แก้คลื่นไส้อาเจียนทั่วไป 0.3 ถึง 0.65 มก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ เข้ากล้ามเนื้อ หรือใต้ผิวหนัง ทุกๆ 6 ถึง 8 ชั่วโมงเท่าที่จำเป็น
แก้คลื่นไส้และอาเจียนหลังจากการผ่าตัด แปะแผ่นยาซึมผ่านผิวหนังสโคโปลามีนขนาด 1.5 มก. ไว้ที่ด้านหลังใบหูในตอนเย็น คือวันก่อนการผ่าตัด ควรแปะแผ่นยาไว้ 24 ชั่วโมงหลังจากการผ่าตัด แล้วจึงค่อยกำจัดทิ้ง
หากคุณใช้แผ่นแปะยาสโคโปลามีนกับผู้ป่วยที่คลอดบุตร ควรแปะแผ่นยา 1 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัดคลอด เพื่อจำกัดปริมาณยาที่จะเข้าสู่เด็กทารก
สำหรับภาวะเมายานพาหนะ
แปะแผ่นแผะยาซึมผ่านผิวหนังสโคโปลามีนขนาด 1.5 มก. ไว้ที่ด้านหลังใบหูอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนเดินทาง ทุกๆ 3 วันเท่าที่จำเป็น
สำหรับอาการสั่นเทาที่เหมือนโรคพาร์กินสัน
ขนาดยาที่แนะนำคือ 0.4 ถึง 0.8 มก. รับประทานทุกๆ 8 ชั่วโมงเท่าที่จำเป็น
ขนาดยาสโคโปลามีนสำหรับเด็ก
สำหรับอาหารคลื่นไส้อาเจียน
อายุ 1 ถึง 12 ปี 6 ไมโครกรัม/กก./ครั้ง (ขนาดยาสูงสุดที่ 0.3 มก./ครั้ง) ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ เข้ากล้ามเนื้อ หรือใต้ผิวหนังทุกๆ 6 ถึง 8 ชั่วโมงเท่าที่จำเป็น
สำหรับภาวะป่วยจากการเคลื่อนไหว
อายุมากกว่า 12 ปี แปะแผ่นยาซึมผ่านผิวหนังสโคโปลามีนขนาด 1.5 มก. ไว้ที่ด้านหลังใบหูอย่างน้อย 4 ชั่วโมง ก่อนเริ่มมีการเคลื่อนไหว ทุกๆ 3 วันเท่าที่จำเป็น
รูปแบบของยา
ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้
- ยาเม็ด 1.5 มก. 1 มก./มล. 0.4 มก./มล. 0.4 มก.
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉิน หรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]