ข้อบ่งใช้
ยา เอซาไธโอพรีน ใช้สำหรับ
ยา เอซาไธโอพรีน (Azathioprine) มักใช้เพื่อป้องกันการต่อต้านของร่างกาย สำหรับผู้ป่วยที่ทำการปลูกถ่ายอวัยวะไต ยานี้มักจะใช้ร่วมกับยาอื่น เพื่อให้ไตสามารถทำงานได้ตามปกติ ยาเอซาไธโอพรีนยังใช้เพื่อรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) ซึ่งเป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายส่งผลกับบริเวณข้อต่อ
ยาเอซาไธโอพรีนนั้นอยู่ในกลุ่มของยากดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressants) ทำงานโดยการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแรงลง เพื่อใช้ให้ร่างกายสามารถปรับตัวเข้ากับไตใหม่ได้ (สำหรับกรณีปลูกถ่ายอวัยวะ) หรือช่วยป้องกันไม่ให้ข้อต่อเสียหายไปมากกว่าเดิม (สำหรับโรคข้อรูมาตอยด์)
ปรึกษากับแพทย์สำหรับความเสี่ยง และประโยชน์ในการใช้ยาเอซาไธโอพรีน โดยเฉพาะหากใช้กับเด็กหรือคนวัยหนุ่มสาว
วิธีการใช้ยา เอซาไธโอพรีน
รับประทานยานี้ตามที่แพทย์สั่ง โดยปกติ คือ วันละหนึ่งหรือสองครั้ง รับประทานพร้อมกับอาหาร เพื่อลดอาการปวดท้อง
ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์ น้ำหนัก และการตอบสนองต่อการรักษา อย่าเพิ่มขนาดยา หรือใช้บ่อยหรือนานกว่าที่กำหนด อาการของคุณจะไม่หายไวขึ้น และความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงจะเพิ่มมากขึ้น
ใช้ยานี้เป็นประจำ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากยา เพื่อให้ง่ายต่อการจำควรใช้ในเวลาเดียวกันทุกวัน
สำหรับการรักษาโรคข้ออักเสบ อาจต้องใช้เวลามากถึง 2 เดือน กว่าที่อาการของคุณจะดีขึ้น แจ้งให้แพทย์ทราบ หากอาการของคุณไม่ดีขึ้นหลังจากรักษาไปนาน 3 เดือน
เนื่องจากยานี้สามารถดูดซึมผ่านทางผิวหนังและปอด และอาจทำอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ สตรีมีครรภ์หรืออาจจะตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ยานี้ หรือสูดหายใจละอองจากยานี้
การเก็บรักษายา เอซาไธโอพรีน
ยาเอซาไธโอพรีนควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาเอซาไธโอพรีนบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัยโปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่ควรทิ้งยาเอซาไธโอพรีนลงในชักโครก หรือท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โปรดสอบถามเภสัชกรเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาเอซาไธโอพรีน
ก่อนใช้ยาเอซาไธโอพรีน แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ หากคุณแพ้ยานี้ หรือแพ้ยาเมอร์เคปโตพิวรีน (mercaptopurine) หรือหากคุณมีโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีส่วนผสมที่ทำให้เกิดอาการแพ้ หรือปัญหาอื่นได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดปรึกษากับเภสัชกร
ก่อนใช้ยานี้ แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรให้ทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคต่อไปนี้คือ โรคไต โรคตับ โรคมะเร็ง ความผิดปกติของเอนไซม์บางชนิด เช่น ภาวะพร่องเอนไซม์ทีพีเอ็มที (TPMT deficiency)
ยานี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง ควรจำกัดเวลาในการอยู่ใต้แดด หลีกเลี่ยงการอาบแดด ควรทาครีมกันแดดและสวมเสื้อผ้าป้องกันเมื่ออยู่นอกบ้าน แพทย์อาจจะแนะนำให้คุณหลีกเลี่ยงการรักษาด้วยแสง (phototherapy) ขณะที่กำลังใช้ยานี้ สอบถามแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ยาเอซาไธโอพรีนสามารถทำให้คุณติดเชื้อ หรือทำให้อาการติดเชื้อที่เป็นอยู่แย่ลงได้ ควรหลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้ที่มีติดเชื้อที่อาจแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้ เช่น โรคอีสุกอีใส โรคหัด โรคไข้หวัดใหญ่ ปรึกษากับแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม หรือหากคุณเคยสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ
ก่อนการผ่าตัด โปรดแจ้งแพทย์หรือทันตแพทย์เกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณกำลังใช้ (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่หาซื้อได้เอง และสมุนไพร)
อย่าสร้างภูมิคุ้มกัน (immunizations) หรือฉีดวัคซีนโดยไม่ปรึกษากับแพทย์ หลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้ที่พึ่งผ่านการฉีดวัคซีน (เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่สูดดมเข้าทางจมูก)
เพื่อลดโอกาสในการเกิดแผลบาด รอยช้ำ หรือบาดเจ็บ ควรระมัดระวังในการใช้ของมีคม เช่น ใบมีดโกนและกรรไกรตัดเล็บ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมอย่างกีฬาที่ต้องปะทะกัน
เนื่องจากยานี้สามารถดูดซึมผ่านทางผิวหนังและปอด และอาจทำอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ ผู้ที่ตั้งครรภ์หรืออาจจะตั้งครรภ์ไม่ควรจับยานี้ หรือสูดหายใจละอองจากยานี้
แจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณตั้งครรภ์หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์ คุณไม่ควรตั้งครรภ์ขณะใช้ยานี้ เนื่องจากอาจทำอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ ควรสอบถามแพทย์ถึงวิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้ขณะใช้ยานี้ หากคุณตั้งครรภ์ ควรปรึกษาเรื่องความเสี่ยงและประโยชน์ของยานี้กับแพทย์ในทันที
ยานี้สามารถไหลผ่านตามน้ำนมแม่ได้ และอาจส่งผลที่ไม่พึงประสงค์ต่อทารก โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนการให้นมบุตร
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้ ยาเอซาไธโอพรีนจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์ ประเภท D โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
- A= ไม่มีความเสี่ยง
- B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C= อาจจะมีความเสี่ยง
- D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
- X= ห้ามใช้
- N= ไม่มีข้อมูลเพียงพอ
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยาเอซาไธโอพรีน
อาจเกิดอาการคลื่นไส้หรืออาเจียน รับประทานยานี้พร้อมกับอาหารเพื่อลดอาการนี้ อาจเกิดอาการผมร่วงชั่วคราว หากผลข้างเคียงเหล่านี้ไม่ยอมหายไป หรือแย่ลง โปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรในทันที
ผู้ที่ใช้ยานี้อาจจะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ แต่การที่แพทย์ได้สั่งให้ใช้ยานี้ เนื่องจากคำนวณแล้วว่ายาเป็นประโยชน์ต่อคุณ มากกว่าความเสี่ยงของผลข้างเคียง การที่แพทย์เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด อาจช่วยลดความเสี่ยงได้
แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากคุณมีผลข้างเคียงที่ร้ายแรง ได้แก่ ท้องร่วง อาการปวดข้อต่อ/กล้ามเนื้อแห่งใหม่หรือร้ายแรงขึ้น
รับการรักษาในทันทีหากคุณมีผลข้างเคียงที่รุนแรงมาก ได้แแก่ คลื่นไส้/อาเจียนไม่ยอมหยุด ปวดท้อง ปัสสาวะสีเข้ม ผิวและตาเป็นสีเหลือง
ยานี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อที่สมองที่หายากและรุนแรงมาก (อาจถึงชีวิต) เช่น โรค PML (progressive multifocal leukoencephalopathy) รับการรักษาในทันทีหากคุณมีผลข้างเคียงดังต่อไปนี้ ได้แก่ ซุ่มซ่าม สูญเสียการเคลื่อนไหวที่สอดประสานกัน เสียสมดุล อ่อนแรง วิธีการคิดเปลี่ยนแปลงไปฉับพลัน (เช่น สับสน รวบรวมสมาธิได้ยาก สูญเสียความทรงจำ) พูดหรือเดินลำบาก ชัก การมองเห็นเปลี่ยน
อาการแพ้ที่รุนแรงมากของยานี้หาได้ยาก แต่ควรรับการรักษาในทันที หากคุณสังเกตเห็นอาการแพ้ที่รุนแรง ได้แก่ ผดผื่น คัน/บวม (โดยเฉพาะใบหน้า/ลิ้น/ลำคอ) มึนงงอย่างรุนแรง หายใจติดขัด
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้อาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ โปรดปรึกษากับแพทย์
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ยาที่อาจเกิดปฏิกิริยากับยานี้ ได้แก่ ฟีบัคโซสตัต (febuxostat) เคยหรือกำลังใช้ยาสำหรับโรคมะเร็ง เช่น ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) เมลฟาแลน (melphalan) หรือยาที่กดภูมิคุ้มกัน/เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ เช่น ริทูซิแมบ (rituximab) โทฟาซิตินิบ (tofacitinib)
ยาเอซาไธโอพรีนคล้ายคลึงกับยาเมอร์แคปโตพิวรีน (mercaptopurine) อย่าใช้ยาที่มีส่วนประกอบของยาเมอร์แคปโตพิวรีน ขณะที่กำลังใช้ยานี้
ยาเอซาไธโอพรีนอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่าคุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยาเอซาไธโอพรีนอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
ยาเอซาไธโอพรีนอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาเอซาไธโอพรีนสำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อการปลูกถ่ายไต
- ขนาดยาเริ่มต้น: 3 ถึง 5 มก/กก รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือด วันละครั้ง เริ่มให้ขณะเริ่มปลูกถ่ายไต
- ขนาดยาปกติ: 1 ถึง 3 มก/กก รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดวันละครั้ง
คำแนะนำ
- ในบางกรณี การรักษาอาจเริ่มตั้งแต่ 1 ถึง 3 วัน ก่อนการปลูกถ่ายอวัยวะ
- ไม่ควรเพิ่มขนาดยาไปจนถึงระดับเป็นพิษเนื่องจากอาจเกิดอาการต่อต้านที่รุนแรงถึงชีวิต
การใช้:
- การเสริมการรักษาเพื่อป้องกันการต่อต้านของร่างกายในการปลูกถ่ายไต
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- ขนาดยาเริ่มต้น: 1 มก/กก (50 ถึง 100 มก) รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดวันละครั้ง โดยแบ่งเป็น 1 ถึง 2 ครั้ง
- ขนาดยาปกติ: ขนาดยาต่ำสุดเท่าที่มีประสิทธิภาพ
- ขนาดยาสูงสุด: 2.5 มก/กก รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดวันละครั้ง
- ระยะเวลา: อย่างน้อย 2 สัปดาห์
คำแนะนำ
- อาจเพิ่มขนาดยา 0.5 มก/กก/วัน (หรือประมาณ 25 มก/วัน) หลังจากเริ่มการรักษา 6 ถึง 8 สัปดาห์ และหลังจากเว้นระยะ 4 สัปดาห์ หากจำเป็น
- แนะนำให้ค่อย ๆ ลดขนาดยา เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นพิษ
- การตอบสนองต่อการรักษาเกิดขึ้นหลังจากรักษาผ่านไปหลายสัปดาห์ โดยปกติแล้วคือ 6 ถึง 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่ไม่มีการพัฒนาหลังจาก 12 สัปดาห์อาจพิจารณาได้ว่าดื้อยา
- อาจต้องใช้ยาเอซาไธโอพรีนในระยะยาวสำหรับผู้ป่วยที่มีการตอบสนองทางการแพทย์
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคโครห์น (Crohn’s Disease) – ฉับพลัน
- งานวิจัย: 1.5 ถึง 4 มก/กก ต่อวัน เป็นเวลา 10 วัน จนถึง 52 สัปดาห์
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคโครห์น – ประคับประคอง
- งานวิจัย: 1.5 ถึง 4 มก/กก ต่อวัน เป็นเวลา 10 วัน จนถึง 52 สัปดาห์
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคเส้นประสาทอักเสบเรื้อรัง
- งานวิจัย (จำนวนผู้เข้าร่วมงานวิจัย = 14 คน): 2 ถึง 3 มก/กก รับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 9 เดือน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
- งานวิจัย (จำนวนผู้เข้าร่วมงานวิจัย = 37 คน): 2.5 มก/กก รับประทานวันละครั้งในตอนเช้า เป็นเวลา 3 เดือน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคซาร์คอยโดซิส (Sarcoidosis)
- งานวิจัย (จำนวนผู้เข้าร่วมงานวิจัย = 11 คน): ขนาดยาเริ่มต้น: 2 มก/กก ต่อวัน ใช้ร่วมกับยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone) 0.6 ถึง 0.8 มก/กก ต่อวัน และลดขนาดยาเพรดนิโซโลนไปที่ 0.1 มก/กก ภายใน 2 ถึง 3 เดือน
- ขนาดยาปกติ: 2 มก/กก ต่อวัน ใช้ร่วมกับยาเพรดนิโซโลน 0.1 มก/กก ต่อวัน เป็นเวลา 21 ถึง 22 เดือน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล
งานวิจัย (จำนวนผู้เข้าร่วมงานวิจัย = 9 คน)
- ฉีดเข้าหลอดเลือด: หยอดยาเข้าหลอดเลือด 20 ถึง 40 มก/กก เป็นเวลานานกว่า 36 ชม หรือหยอดยา 8 ชม 3 ครั้ง ขนาด 40 มก/กก นานกว่า 3 วัน ตามด้วยยาเอซาไธโอพรีนแบบรับประทาน
- รับประทาน: 2 มก/กก รับประทานทุกวัน หลังจากที่การให้ยาทางหลอดเลือดเสร็จสิ้น
งานวิจัย (จำนวนผู้เข้าร่วมงานวิจัย = 12 คน)
- 50 มก ต่อวันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ตามด้วย 2 ถึง 2.5 มก/กก ต่อวันร่วมกับยาเมซาลาซีน (Mesalazine) 500 มก รับประทานวันละ 3 ครั้ง เริ่มให้ยาทันที หลังจากมีสัญญาณของระยะโรคสงบ (ค่าเฉลี่ย: 14.5 วัน) ร่วมกับให้ยาไซโคลสปอริน (cyclosporine) ทางหลอดเลือดดำ (4 มก/กก/วัน)
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะม่านตาอักเสบ (Uveitis)
งานวิจัย (จำนวนผู้เข้าร่วมงานวิจัย = 14 คน)
- เพื่อรักษาอาการหลอดเลือดผิดปกติจากชั้นคอรอยด์ (choroidal neovascularization): 1 ถึง 1.5 มก/กก รับประทานทุกวันร่วมกับยาเพรดนิโซโลน และยาไซโคลสปอริน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคเอ็มเอส (Multiple Sclerosis)
งานวิจัย (จำนวนผู้เข้าร่วมงานวิจัย = 6 คน): ผู้ป่วยที่ดื้อต่ออินเตอร์เฟอรอนเบต้า-1บี (interferon beta-1b)
- ขนาดยาเริ่มต้น: ควรปรับขนาดยาเอซาไธโอพรีนไปถึง 1.5 มก/กก ต่อวัน เป็นเวลา 1 เดือน แแล้วตามด้วยเพิ่ม 50 มก. ในช่วงเวลาพัก 6 เดือน ร่วมกับสลับฉีดยาอินเตอร์เฟอรอน เบต้า-1บี (interferon beta-1b) ใต้ผิวหนัง 8 ล้านหน่วยสากล
- ขนาดยาปกติ: 2 มก/กก ต่อวัน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus)
งานวิจัย:
- 1 ถึง 3 มก/กก น้ำหนักตัวที่วัดได้/วัน รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดวันละครั้ง
งานวิจัย (จำนวนผู้เข้าร่วมงานวิจัย = 55 คน) :โรคไตอักเสบลูปัสขั้นรุนแรง (Diffuse proliferative lupus glomerulonephritis)
- การรักษาอย่างต่อเนื่องเริ่มต้นที่เพรดนิโซโลน (1 มก/กก/วัน) เป็นเวลา 8 ถึง 10 สัปดาห์ ค่อยๆ ลดขนาดมาเป็นขนาดยาปกติที่ 5 ถึง 10 มก/วัน ร่วมกับรับประทานไซโคลฟอสฟาไมด์ (1 ถึง 2 มก/กก/วัน) เป็นเวลา 6 ถึง 9 เดือนตามด้วยยาเอซาไธโอพรีน 50 ถึง 100 มก/วัน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคตับอักเสบเรื้อรัง (Chronic Active Hepatitis)
งานวิจัย (จำนวนผู้เข้าร่วมงานวิจัย = 72 คน)
- โรคตับอักเสบจากภูมิต่อต้านตนเอง (autoimmune hepatitis): 1 ถึง 2 มก/กก ต่อวัน ร่วมกับเพรดนิโซโลน (5 ถึง 15 มก/วัน) อย่างน้อย 1 ปี (เฉลี่ย 5 ปี)
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคทากายาสุ (Takayasu’s Arteritis)
งานวิจัย (จำนวนผู้เข้าร่วมงานวิจัย = 15 คน)
- 2 มก/กก น้ำหนักตัวที่วัดได้/กก เป็นเวลา 1 ปี ร่วมกับค่อยๆ ลดยาเพรดนิโซโลน
การปรับขนาดยาสำหรับไต
อาจจำเป็นต้องใช้ยาในขนาดที่ต่ำ แต่ไม่มีแนวทางแนะนำโดยเฉพาะ
การปรับขนาดยาสำหรับตับ
อาจจำเป็นต้องปรับขนาดยา แต่ไม่มีแนวทางแนะนำโดยเฉพาะ
การปรับขนาดยา
- อาจจำเป็นต้องลดขนาดยาหรือรักษาด้วยวิธีอื่น สำหรับผู้ป่วยที่มีค่าเอนไซม์ทีพีเอ็มที (TPMT) ลดลง
- ใช้ร่วมกับยาอัลโลพูรินอล (allopurinol): ขนาดของยาเอซาไธโอพรีนควรลดประมาณ 25% ถึง 33% ของขนาดยาปกติ และอาจต้องพิจาณาลดขนาดยาเพิ่มขึ้นหรือรักษาด้วยวิธีอื่น สำหรับผู้ป่วยที่มีค่าเอนไซม์ทีพีเอ็มที (TPMT) ลดลง
ขนาดยาเอซาไธโอพรีนสำหรับเด็ก
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
งานวิจัย (จำนวนผู้เข้าร่วมงานวิจัย = 37 คน)
- อายุมากกว่า 17 ปี: 2.5 มก/กก รับประทานวันละครั้งในตอนเช้า เป็นเวลา 3 เดือน
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อป้องกันภาวะร่างกายต่อต้านอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่าย
- ขนาดยาเริ่มต้น: 3 ถุง 5 มก/กก รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดวันละครั้ง ก่อนเริ่มปลูกถ่ายอวัยวะ
- ขนาดยาปกติ: 1 to 3 มก/กก รับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดวันละครั้ง
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคผิวหนังอักเสบผื่นแพ้
งานวิจัย (จำนวนผู้เข้าร่วมงานวิจัย = 91 คน)
- อายุมากกว่า 6 ปี: 2.5 ถึง 3.5 กก/กก ต่อวัน ในผู้ป่วยที่มีระดับของเอ็นไซม์ทีพีเอ็มที (thiopurine methyltransferase) เป็นปกติ
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเอง
กรณีศึกษา (จำนวนผู้เข้าร่วมงานวิจัย = 67 คน): โรคไตอักเสบลูปัส (Lupus Nephritis)
- อายุมากกว่า 5 ปี: 2 ถึง 3 มก/กก ต่อวัน (ขนาดยาสูงสุด: 150 มก/วัน)
- สามารถปรับขนาดยาเพื่อรักษาระดับความสมูบรณ์ทั้งหมดของเซลล์เม็ดเลือดขาวไว้ที่ระหว่าง 3 และ 4 x 10(3) เซลล์/มล.
ยังไม่มีการพิสูจน์ขนาดยาสำหรับผู้ป่วยเด็ก ยานี้อาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้ ดังนั้น จึงควรทำความเข้าใจกับความปลอดภัยของยาก่อนการใช้ยา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อกับแพทย์หรือเภสัชกร
รูปแบบของยา
ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้คือ
- ยาเม็ด
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉิน หรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมรับประทานยาควรรีบรับประทานทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลารับประทานยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปรับประทานยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]