ข้อบ่งใช้
ไซแฟกเซน® (ยาไรฟาซิมิน) ใช้สำหรับ
ไซแฟกเซน® (Xifaxan®) เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรียทางลำไส้เท่านั้น
ยาไรฟาซิมิน (Rifaximin) จะทำงานแตกต่างจากยาปฏิชีวนะตัวอื่น นั่นคือ สามารถส่งผ่านไปยังกระเพาะอาหารและลำไส้ได้โดยไม่ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ยานี้จะรักษาการติดเชื้อในระบบทางเดินลำไส้เท่านั้น มักไม่รักษาอาการติดเชื้อที่ส่วนอื่นของร่างกาย
ไซแฟกเซน® ใช้ในการรักษาโรคท้องเสีย ที่มีสาเหตุมาจากเชื้ออีโคไล (E. coli) ในผู้ใหญ่และเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป หลายคนมีอาการติดเชื้อนี้จากการรับประทานอาหาร หรือบริโภคของเหลวที่มีการปนเปื้อนแบคทีเรียอีโคไล
ยานี้ ยังใช้รักษาโรคลำไส้แปรปรวน (irritable bowel syndrome) ในผู้ใหญ่ ซึ่งมีอาการหลัก คือ ท้องร่วง
นอกจากนี้ ยังใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง ในผู้ใหญ่ที่มีภาวะไตล้มเหลว ประสิทธิภาพการทำงานของสมองอาจได้รับผลกระทบ เมื่อตับหยุดทำงาน และไม่สามารถขับสารพิษออกจากร่างกาย
วิธีใช้ไซแฟกเซน® (ยาไรฟาซิมิน)
รับประทานไซแฟกเซน® พร้อมอาหาร หรือรับประทานแยกต่างหากก็ได้ ควรทำตามแนวทางการใช้ยาบนฉลากยา และทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด อย่าใช้ยานี้ในขนาดที่มากกว่าหรือใช้ยานานกว่าที่กำหนด โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากยาของคุณทำงานได้ไม่ดีดังเดิม
ใช้ไซแฟกเซน® ให้ครบกำหนดตามที่แพทย์แนะนำ แม้คุณจะรู้สึกว่าอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะการงดรับประทานยาอาจทำให้เชื้อไม่หายขาด และเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อที่ดื้อยาในอนาคต ยานี้ไม่สามารถรักษาการติดเชื้อทางไวรัส เช่น หวัด อาการจาม
หากใช้ยามาแล้วเกิน 24 ชั่วโมง แล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือแย่ลง โปรดแจ้งแพทย์ทันที
ไซแฟกเซน® ไม่สามารถรักษาโรคท้องร่วง จากแบคทีเรียได้ทุกชนิด
วิธีเก็บรักษาไซแฟกเซน® (ยาไรฟาซิมิน)
ไซแฟกเซน® ควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง ให้พ้นแสงและความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเสื่อมสภาพ ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง หากมีข้อสงสัยควรอ่านคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์หรือสอบถามเภสัชกรเสมอ และโปรดเก็บยาให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยงเพื่อความปลอดภัย
ไม่ควรทิ้งไซแฟกเซน® ลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ เว้นเสียแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น หากยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยา ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเภสัชกร
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ไซแฟกเซน® (ยาไรฟาซิมิน)
ก่อนใช้ไซแฟกเซน® โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณมีภาวะดังต่อไปนี้
- วางแผนตั้งครรภ์ กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร เนื่องจากในช่วงที่ตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ควรใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำเท่านั้น
- กำลังใช้ยาอื่นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง สมุนไพร เป็นต้น
- แพ้สารออกฤทธิ์หรือไม่ออกฤทธิ์ของซาแน็กซ์® หรือยาอื่นๆ
- มีอาการป่วย มีความผิดปกติ หรือมีสภาวะทางการแพทย์อื่นๆ โดยเฉพาะ โรคตับ ท้องเสียร่วมกับภาวะมีไข้ ท้องเสียเป็นน้ำหรือเป็นเลือดปน
คุณไม่ควรรับประทานไซแฟกเซน® หากคุณมีอาการแพ้ต่อยาไรฟาซิมิน (rifaximin) ยาไรฟาบูติน (rifabutin) ยาไรแฟมพิน (rifampin) หรือยาไรฟาเพนติน (rifapentine)
ไม่ควรใช้ไซแฟกเซน® กับเด็กวัยต่ำกว่า 12 ปี
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้
ไซแฟกเซน® จัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด C โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
- A = ไม่มีความเสี่ยง
- B = ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C = อาจจะมีความเสี่ยง
- D = มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
- X = ห้ามใช้
- N = ไม่ทราบแน่ชัด
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงจากการใช้ไซแฟกเซน® (ยาไรฟาซิมิน)
เข้ารับการรักษาพยาบาลฉุกเฉินทันที หากคุณมีสัญญาณของภูมิแพ้ยา เช่น โรคลมพิษ หายใจติดขัด อาการบวมที่หน้า ริมฝีปาก ลิ้นหรือคอ
หยุดใช้ไซแฟกเซน® และแจ้งหมอของคุณทันที หากมีอาการต่อไปนี้
- ปวดท้องรุนแรง ถ่ายเป็นน้ำหรือเลือด
- เป็นไข้
- น้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะใบหน้าและลำตัว
ผลข้างเคียงทั่วไปที่อาจพบ ได้แก่
- อาการบวมที่มือ เท้าหรือลำตัวของคุณ
- อาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ
- รู้สึกเหนื่อย
- ผลการตรวจประสิทธิภาพทำงานของตับที่ผิดปกติ
ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้น อาจไม่ได้เกิดกับทุกคน หรือบางคนอาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากนี้ หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ไซแฟกเซน® อาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น
คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรด้วยว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง สมุนไพร เป็นต้น และเพื่อความปลอดภัย คุณไม่ควรเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ยาที่อาจจะมีปฏิกิริยากับไซแฟกเซน® ได้แก่
- ยาไซโคลสปอรีน (Cyclosporine)
- ยาโลพินาเวียร์ (Lopinavir) และ ยาริโทนาเวียร์ (Ritonavir)
- ยาปฏิชีวนะอะซิโทรไมซิน (azithromycin) ยาคลาริโทรมายซิน (clarithromycin) ยาอิริโทรมายซิน (erythromycin)
- ยาต้านเชื้อรา ยาไอตราโคนาโซน (itraconazole) ยาคีโตโคนาโซน (ketoconazole)
- ยาความดันโลหิตและหัวใจ ยาอะมิโอดาโรน (amiodarone) ยาแคปโตพริล (captopril) ยาคาร์วิไดรอล (carvedilol) ยาดิลไทอะเซม (diltiazem) ยาโดรเนดาโรน (dronedarone) ยาเฟโลดิพิน (felodipine) ยาควินิดิน (quinidine) ยาราโนลาซีน (ranolazine) ยาเวราพามิล (verapamil)
ปฏิกิริยาต่ออาหารและแอลกอฮอล์
ไซแฟกเซน® อาจมีปฏิกิริยากับอาหาร หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยาต่ออาการโรค
ไซแฟกเซน® อาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาของไซแฟกเซน® (ยาไรฟาซิมิน) สำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาทั่วไปสำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นโรคท้องร่วง
รับประทานครั้งละ 200 มิลลิกรัม 3 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 3 วัน
ขนาดยาทั่วไปสำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นโรคสมองเสื่อมจากโรคตับ (Hepatic Encephalopathy)
รับประทานครั้งละ 550 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน
โรคลำไส้แปรปรวนที่เกิดจากอาการท้องร่วง
ขนาดยาที่แนะนำ : รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ขนาดเม็ดละ 550 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 14 วัน ผู้ป่วยที่พบกับการกำเริบของอาการสามารถกลับมารักษาได้โดยเพิ่มเกณฑ์การให้ยาเดิมเป็นสองเท่า
ขนาดยาของไซแฟกเซน® (ยาไรฟาซิมิน) สำหรับเด็ก
ขนาดยาทั่วไปสำหรับเด็กที่เป็นโรคท้องร่วง
อายุ 12 ปีขึ้นไป : รับประทานครั้งละ 200 มิลลิกรัม 3 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 3 วัน
รูปแบบของยา
ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้
- ยาเม็ด : ไรฟาซิมิน 550 มิลลิกรัม
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]