คำจำกัดความ
ภาวะการปรับตัวผิดปกติ คืออะไร
ภาวะการปรับตัวผิดปกติ (Adjustment disorder) หรือที่มักเรียกกันว่า โรคเครียด เป็นภาวะสุขภาพที่เกิดขึ้นหลังจากต้องเผชิญความกดดัน ทำให้เกิดความเครียดสะสมหรือเครียดจัด และไม่สามารถตอบสนอง หรือปรับตัวได้อย่างเหมาะสม จนส่งผลกระทบต่อชีวิตการทำงาน การเรียน ความสัมพันธ์ หรือการเข้าสังคม
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต เช่น คนที่คุณรักเสียชีวิต มีปัญหาด้านความรัก ถูกไล่ออกจากงาน มักทำให้เรารู้สึกเครียดจัด แต่โดยทั่วไปแล้ว คนเรามักปรับตัวได้ภายใน 2-3 เดือนหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ผู้ที่มีภาวะการปรับตัวผิดปกติ มักจะทำใจ ยอมรับ หรือปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้ ร่างกายและจิตใจตอบสนองต่อสถานการณ์นั้น ๆ ในแง่ลบ จนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องเผชิญกับภาวะนี้เพียงลำพัง เพราะยังมีวิธีการรักษาที่ใช้เวลาไม่นาน ที่จะช่วยให้คุณสามารถกลับคืนสู่สภาวะปกติได้อีกครั้ง
ภาวะการปรับตัวผิดปกติ พบได้บ่อยแค่ไหน
ภาวะการปรับตัวผิดปกติ สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่อาจพบได้บ่อยในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต อย่างช่วงวัยรุ่น ช่วงวัยกลางคน ช่วงบั้นปลายชีวิต โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
อาการ
อาการของ ภาวะการปรับตัวผิดปกติ
อาการของภาวะการปรับตัวผิดปกติขึ้นอยู่กับประเภทของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้วภาวะการปรับตัวผิดปกติจะส่งผลต่อความรู้สึกและความคิดที่คุณมีต่อตัวเองและสังคม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความคิด พฤติกรรม และการกระทำดังต่อไปนี้
- รู้สึกเศร้า เสียใจ สิ้นหวัง ไม่สนุกกับสิ่งที่เคยชอบ
- ร้องไห้บ่อย
- วิตกกังวล ตื่นตระหนก กระวนกระวาย สับสน หรือเครียดจัด
- มีปัญหาในการนอนหลับ
- กล้ามเนื้อกระตุกหรือสั่น
- เจ็บปวดตามร่างกาย
- ไม่อยากอาหาร
- ไม่มีสมาธิ
- รู้สึกกดดัน จนเกินจะทนไหว
- มีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน
- ปลีกตัวออกจากสังคม
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมหรือกิจวัตรที่สำคัญ เช่น การไปทำงาน การจ่ายบิล
- มีความคิด หรือพฤติกรรมฆ่าตัวตาย
ผู้ป่วยมักมีอาการของภาวะปรับตัวผิดปกติภายในเวลา 3 เดือนหลังเกิดเหตุการณ์หรือแรงกดดัน และปกติภาวะนี้จะหายไปเองภายในเวลา 6 เดือน แต่ในบางกรณี ผู้ป่วยก็อาจมีภาวะดังกล่าวยาวนานเกิน 6 เดือน ได้ โดยเฉพาะเมื่อปัจจัยที่เป็นสาเหตุของแรงกดดันยังคงอยู่ เช่น ปัญหาการว่างงาน
ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด
ส่วนใหญ่แล้ว สาเหตุของภาวะการปรับตัวผิดปกติมักเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแค่ชั่วคราว เมื่อปัจจัยที่เป็นสาเหตุหายไป อาการก็มักจะดีขึ้นหรือหายเป็นปกติได้ แต่บางครั้ง เหตุการณ์ที่ทำให้คุณเกิดภาวะการปรับตัวผิดปกติก็อาจจะคงอยู่เป็นเวลานาน หรือมีเรื่องเครียดๆ เรื่องใหม่เกิดขึ้น จนทำให้คุณมีอาการของภาวะการปรับตัวผิดปกติต่อไปไม่จบสิ้น
หากคุณรู้สึกว่าการเผชิญกับเหตุการณ์สำคัญบางอย่าง ทำให้คุณใช้ชีวิตประจำวันต่อไปได้ยากลำบาก ควรปรึกษาแพทย์ และเข้ารับการบำบัดรักษาทันที เพราะการรักษาจะช่วยให้คุณรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น และรู้สึกดีกับชีวิตมากขึ้นด้วย
ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ
สาเหตุ
สาเหตุของภาวะการปรับตัวผิดปกติ
ภาวการณ์ปรับตัวผิดปกติเกิดจากการเปลี่ยนแปลง หรือเหตุการณ์ตึงเครียดครั้งใหญ่ในชีวิต โดยสาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะนี้ ได้แก่
ปัจจัยกระตุ้นในผู้ใหญ่ เช่น
- การตายของสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อน
- ปัญหาความรัก ความสัมพันธ์ หรือการหย่าร้าง
- การเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพของตัวคุณเองหรือคนใกล้ชิด
- การย้ายบ้าน หรือย้ายงาน
- ภัยธรรมชาติ
- ปัญหาด้านการเงิน
ปัจจัยกระตุ้นในเด็กและวัยรุ่น เช่น
- ปัญหาครอบครัว พ่อแม่ทะเลาะกัน
- ปัญหาในโรงเรียน
- ความวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องเพศ
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของภาวะการปรับตัวผิดปกติ
หากคุณมีปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ อาจทำให้คุณเสี่ยงเกิดภาวะการปรับตัวผิดปกติยิ่งขึ้น
สถานการณ์ตึงเครียดหรือกดดัน ทั้งสถานการณ์ที่ดีและไม่ดี เช่น
- ปัญหาในการใช้ชีวิตคู่ หรือปัญหาการหย่าร้าง
- ปัญหาความสัมพันธ์ หรือปัญหาความรัก
- การเปลี่ยนแปลงในชีวิต เช่น การเกษียณอายุ การมีลูก การต้องแยกจากครอบครัวเพื่อไปเรียน หรือไปทำงาน
- สถานการณ์เลวร้าย เช่น การตกงาน การสูญเสียคนที่รัก ปัญหาการเงิน
- ปัญหาการเรียน หรือการทำงาน
- ประสบการณ์เฉียดตาย เช่น ถูกทำร้ายร่างกาย ประสบภัยพิบัติ
- ความเครียดที่ต้องเผชิญมายาวนาน เช่น ปัญหาสุขภาพ การอาศัยอยู่ในละแวกที่ไม่ปลอดภัย
ประสบการณ์ชีวิต เช่น
- การต้องเผชิญเรื่องตึงเครียดในวัยเด็ก
- ปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ
- เกิดเรื่องเครียดหรือกดดันหลายเรื่องพร้อมกัน
การไม่มีปัจจัยเสี่ยงไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่มีโอกาสเป็นโรคนี้ ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เป็นเพียงข้อมูลอ้างอิงเท่านั้น โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยภาวะการปรับตัวผิดปกติ
แพทย์จะวินิจฉัยอาการ โดยยึดตามเกณฑ์ในการวินิจฉัยภาวะการปรับตัวผิดปกติ ดังนี้
- มีอาการที่เกี่ยวข้องกับสภาวะทางจิตใจหรือพฤติกรรม ในช่วงระยะเวลา 3 เดือนหลังหลังเกิดเหตุการณ์ตึงเครียด หรือเผชิญกับปัจจัยกระตุ้นให้เกิดความเครียด
- คุณเครียดมากเกิดปกติ ซึ่งอาจเป็นการตอบสนองต่อปัจจัยกระตุ้นความเครียดบางอย่าง หรือความเครียดที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ การเรียน หรือการทำงาน
- มีอาการเกิน 6 เดือน แม้จะไม่มีปัจจัยกระตุ้นแล้วก็ตาม
- อาการที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นผลจากภาวะโรคอื่น ๆ
การรักษาภาวะการปรับตัวผิดปกติ
หากแพทย์วินิจฉัยว่าคุณมีภาวะการปรับตัวผิดปกติ แพทย์อาจให้คุณเข้ารับการรักษา ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
การบำบัด
การบำบัด (Therapy) เป็นวิธีการรักษาหลักของภาวะการปรับตัวผิดปกติ โดยคุณอาจต้องเข้ารับการบำบัดกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา โดยวิธีบำบัดที่นิยมใช้ในการรักษาภาวะการปรับตัวผิดปกติ ได้แก่
- จิตบำบัด (Psychotherapy) เช่น การพูดคุย การให้คำปรึกษา
- การช่วยเหลือบุคคลในยามวิกฤติ (Crisis Intervention)
- ครอบครัวบำบัด (Family Therapy) หรือกลุ่มบำบัด
- การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy หรือ CBT)
- จิตบำบัดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal Psychotherapy)
การใช้ยา
แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาบรรเทาอาการของภาวะการปรับตัวผิดปกติ เช่น อาการนอนไม่หลับ อาการซึมเศร้า อาการวิตกกังวล โดยยาที่นิยมใช้ ได้แก่
- ยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepine)
- ยาคลายกังวลกลุ่มน็อนเบ็นโซไดอาเซพีน (Nonbenzodiazepine)
- ยาต้านเศร้ากลุ่มเอสเอสอาร์ไอ (Selective Serotonin Reuptake Inhibitor หรือ SSRI) และกลุ่มเอสเอ็นอาร์ไอ (Serotonin and norepinephrine reuptake inhibitor หรือ SNRI)
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเอง
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเองที่ช่วยรับมือกับภาวะการปรับตัวผิดปกติ
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเองดังต่อไปนี้ อาจช่วยป้องกันและช่วยให้คุณรับมือกับภาวะการปรับตัวผิดปกติได้ดีขึ้น
- มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอยู่เสมอ
- มองหาเรื่องดี ๆ เรื่องตลก หรือแง่บวกจากเหตุการณ์ยากลำบากได้ให้
- ต้องรู้จักเห็นคุณค่าในตัวเอง หรือเรียนรู้ที่จะนับถือตัวเอง
- ดูแลสุขภาพ และสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตให้ดี
หากคุณมีข้อสงสัย โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อให้เข้าใจได้ดีขึ้นถึงวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ