สาเหตุของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดอาจมีสาเหตุมากจากเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดเจริญเติบโตมากผิดปกติ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
- ใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำหอมระหว่างมีเพศสัมพันธ์
- ใช้เซ็กส์ทอย โดยไม่ล้างทำความสะอาด
- เคยมีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ
- ใช้ห่วงอนามัยคุมกำเนิด
- ใช้สบู่ในการทำความสะอาดช่องคลอด และสวนล้างช่องคลอดบ่อยเกินไป
- ประจำเดือนมามากหรือนานผิดปกติ
- การตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน ซึ่งอาจส่งผลให้ฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลง
- สวมกางเกงชั้นใน ถุงน่อง หรือกางเกงที่รัดแน่นเป็นระยะเวลานาน
วิธีรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
สำหรับวิธีการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด คุณหมออาจสั่งจ่ายยาดังต่อไปนี้
- เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) ซึ่งมีทั้งรูปแบบเม็ดที่ใช้ในการรับประทาน และแบบเจลเฉพาะที่ ซึ่งใช้ทาเข้าไปในช่องคลอด ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างการรักษาและอย่างน้อย 1 วันหลังจากรักษาเสร็จ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการปวดท้อง หรือคลื่นไส้
- เซคนิดาโซล (Secnidazole) เป็นยาปฏิชีวนะในรูปแบบซองเม็ดเล็ก ๆ แบบรับประทานครั้งเดียว โดยการโรยลงบนอาหารอ่อน ๆ เช่น โยเกิร์ต ควรรับประทานภายใน 30 นาที โดยระวังอย่าเคี้ยวโดนเม็ดยา
- คลินดามัยซิน (Clindamycin) เป็นยาในรูปแบบครีมที่ใช้สอดเข้าไปในช่องคลอด ยาชนิดนี้อาจทำให้ถุงยางอนามัยอ่อนตัวลง ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการรักษาและอย่างน้อย 3 วันหลังจากหยุดใช้ครีม
- ทินิดาโซล (Tinidazole) เป็นยารับประทานที่อาจก่อให้เกิดอาการปวดท้องและคลื่นไส้ ดังนั้น หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างการรักษาและอย่างน้อย 3 วันหลังจากรักษาเสร็จ
สตรีมีครรภ์ที่ติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด ควรเข้ารับการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนด หรือทารกแรกเกิดอาจมีน้ำหนักตัวน้อย นอกจากนี้ ควรใช้ยา ครีม หรือเจล ตามที่คุณหมอกำหนด แม้อาการจะหายไปแล้วก็ตาม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดซ้ำ
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย