ทั้งนี้ ในกรณีของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งภูมิคุ้มกันอ่อนแอมักทำให้การรักษาโรคกลากใช้เวลานานกว่าคนปกติ
เกลื้อน
โรคเกลื้อน เกิดจากเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia) เป็นเชื้อราบนผิวหนังชนิดหนึ่งซึ่งมักอาศัยอยู่ในรูขุมขนของมนุษย์ และกินไขมันในรูขุมขนเป็นอาหาร
อาการของผู้ป่วยโรคเกลื้อน คือ บริเวณผิวหนังที่ติดเชื้อ จะเกิดเป็นผื่นวงกลมหรือวงแหวนมีสีออกขาวหรือสีเข้มกว่าผิวหนังส่วนอื่น ๆ อาจเป็นวนเล็ก ๆ ขนาดเพียง 1 มิลลิเมตร หรืออาจขยายเป็นปื้นใหญ่เห็นได้ชัดเจน ลักษณะของผิวหนังที่เป็นเกลื้อนมักพบบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ใบหน้า ต้นคอ หน้าอก แผ่นหลัง และ
ผู้ป่วยมักรู้สึกคันเมื่อเหงื่อออก และหากเอาเล็บขูดผิวหนังบริเวณดังกล่าวจะลอกออกเป็นขุย
การรักษาโรคเกลื้อน
โรคเกลื้อนรักษาได้ด้วยวิธีดังนี้
- ใช้ผลิตภัณฑ์ต้านเชื้อราทาภายนอกบริเวณที่เป็น มักอยู่ในรูปแบบของเจลหรือครีมซึ่งมีส่วนผสมของยาชนิดต่าง ๆ เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ไซโคลพิรอกซ์ (Ciclopirox) หากเป็นเกลื้อนที่หนังศีรษะอาจใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของตัวยาในการรักษาเกลื้อนสำหรับสระผมโดยเฉพาะ
- ใช้ยาต้านเชื้อราสำหรับรับประทาน เช่น ฟลูโคนาโซล (Fluconazole) ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) ซึ่งมีทั้งแบบยาน้ำและยาเม็ด
น้ำกัดเท้า
โรคน้ำกัดเท้า เกิดจากการติดเชื้อรากลุ่มเดอมาโทไฟท์ (Dermatophytes) หรือเชื้อที่ทำให้เกิดโรคกลากนั่นเอง มีการติดเชื้อบริเวณเท้า ทำให้มีแผลพุพอง ผิวหนังแดงหรืออักเสบ มีกลิ่นเท้าแรงกว่าปกติ ผิวแห้งและลอกเป็นขุยหรือแตก รวมถึงอาการคันเท้า โดยเฉพาะเมื่อถอดถุงเท้าออก
ทั้งนี้แผลน้ำกัดเท้ามักเกิดขึ้นบริเวณซอกนิ้วเท้า ก่อนลุกลามไปยังบริเวณอื่นของเท้า
สาเหตุของโรคน้ำกัดเท้า เกิดจากการใส่รองเท้าเป็นเวลานาน และการมีเหงื่อออกเยอะที่เท้าซึ่งทำให้ภายในรองเท้าอับและชื้น เอื้อให้เชื้อราบนผิวหนังเติบโตได้ดี รวมทั้ง
การเดินเท้าเปล่าในที่ชื้นแฉะ เช่น สระว่ายน้ำ ซาวน่า ห้องล็อคเกอร์ ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยและแพร่กระจายของเชื้อรา
การรักษาโรคน้ำกัดเท้า
โรคน้ำกัดเท้ารักษาได้ด้วยการทายาสำหรับใช้ภายนอก อย่าง อีโคนาโซล (econazole) โคลไตรมาโซล (Clotrimazole) ในรูปแบบครีมหรือขี้ผึ้ง ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของเชื้อรา
ในกรณีอาการรุนแรง คุณหมออาจจ่ายยาต้านเชื้อรา ให้คนไข้รับประทานร่วมด้วย โดยตัวยาดังกล่าวมักประกอบด้วย เทอร์บินาฟีน (Terbinafine) และไอทราโคนาโซล (Itraconazole)
สังคัง
โรคสังคัง เกิดจากการติดเชื้อรากลุ่มเดอมาโทไฟท์ ซึ่งก็คือโรคกลากนั่นเอง แต่เกิดขึ้นบริเวณขาหนีบ อวัยวะเพศ หรือก้น มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะกลุ่มนักกีฬา ซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่ออยู่เสมอ
อาการของโรคสังคัง คือ เกิดผื่นแดงเป็นวงบริเวณที่ติดเชื้อ มีอาการคัน
ปัจจัยซึ่งทำให้เสี่ยงเป็นโรคสังคัง ประกอบด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันซึ่งเพิ่มความอับชื้นให้ผิวหนัง อาทิ การสวมกางเกงในรัดแน่น การใส่ชุดออกกำลังกายซึ่งชุ่มเหงื่อเป็นเวลานาน
การรักษาโรคสังคัง
โรคสังคังรักษาได้ด้วยการใช้ยาต้านเชื้อทั้งในรูปแบบยารับประทาน หรือยาทา เช่น ขี้ผึ้ง ครีม หรือโลชั่น
เช่น ไมโคนาโซล (Miconazole) โคลไตรมาโซล (Clotrimazole) เทอร์บินาฟีน (Terbinafine) ทาภายนอกบริเวณที่เป็นโรค
การป้องกัน เชื้อราบนผิวหนัง
หากปรับพฤติกรรมและดูแลตัวเองตามคำแนะนำต่อไปนี้ อาจช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคผิวหนังต่าง ๆ จากเชื้อราบนผิวหนังได้
- รักษาความสะอาด ด้วยการอาบน้ำสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะวันที่เหงื่อออกมาก แล้วเช็ดตัวให้แห้ง และใส่เสื้อผ้าใหม่ที่ซักสะอาดและแห้งสนิท
- สวมเครื่องแต่งกายที่ไม่รัดแน่น ใส่สบายอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อให้ผิวหนังใต้ร่มผ้าไม่อับชื้นจนเกินไป
- เลี่ยงใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว หมอน เพราะอาจเป็นพาหะของเชื้อราบนผิวหนังทำให้เกิดการติดเชื้อได้
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้สัตว์ติดเชื้อ หรือสัตว์ซึ่งมีอาการคันผิดปกติและผิวลอก โดยเฉพาะแมว ทั้งนี้ หากสัตว์เลี้ยงในบ้านมีอาการดังกล่าว ควรพาไปพบคุณหมอเพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษา
- สวมรองเท้าแตะเมื่อต้องเข้าไปในสถานที่ชื้นแฉะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อราที่เท้าหรือเชื้อราบนผิวหนังจากสถานที่ดังกล่าว
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย