เชื้อรา ที่ขาหนีบผู้หญิง เป็นโรคผิวหนังที่พบได้ทั่วไป อาจทำให้เกิดผื่นแดงลักษณะเป็นวง ๆ มีขอบนูนชัดเจนและเป็นขุยขึ้นกระจายบนผิวหนัง ร่วมกับมีอาการคันและระคายเคือง และอาการอาจลุกลามไปยังผิวหนังส่วนอื่น ๆ เช่น อวัยวะเพศ ต้นขาด้านใน ก้น จนอาจก่อให้เกิดความอึดอัดรำคาญจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ เชื้อราที่ขาหนีบผู้หญิงมักรักษาได้ด้วยการทายาต้านเชื้อราวันละ 1-2 ครั้งติดต่อกันทุกวัน ส่วนใหญ่แล้วเมื่อทายาประมาณ 2-3 สัปดาห์ อาการทางผิวหนังจะค่อย ๆ หายไปในที่สุด แต่หากดูแลเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติมและรับการรักษาอย่างเหมาะสม
 
[embed-health-tool-bmi]
เชื้อรา ที่ขาหนีบผู้หญิง คืออะไร
เชื้อรา ที่ขาหนีบผู้หญิงเป็นเชื้อราในกลุ่มเดอมาโทไฟท์ (Dermatophytes) ที่พบบ่อยที่สุดคือ ทริโคไฟตอน รูบรัม (Trichophyton rubrum) และเอพิเดอร์โมไฟตอน ฟลอกโคซัม (Epidermophyton floccosum) เชื้อรากลุ่มนี้เป็นสาเหตุของโรคสังคัง (Jock itch หรือ Tinea cruris) ซึ่งเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แพร่เชื้อจากคนสู่คนได้ผ่านการสัมผัสเชื้อโดยตรงและการสัมผัสกับพื้นผิวหรือของใช้ที่มีเชื้อติดอยู่ เช่น ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า หมอน ผ้าปูที่นอน
เชื้อรา ที่ขาหนีบผู้หญิงมักพบในวัยรุ่นและผู้ใหญ่มากกว่าเด็กและผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบเขตร้อนชื้น เชื้อราจะอาศัยอยู่บนผิวหนังและกินเคราตินซึ่งเป็นส่วนประกอบของผิวหนังชั้นนอก ผม และเล็บเป็นอาหาร จึงไม่พบการติดเชื้อในบริเวณเยื่อบุผิว แต่หากเชื้อราเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนมากเกินไปอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนัง โดยเฉพาะผิวหนังในบริเวณที่อบอุ่นและชื้น เช่น ขาหนีบ อวัยวะเพศ ก้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดเชื้อรา ที่ขาหนีบผู้หญิง เช่น
- เป็นโรคน้ำกัดเท้า (Athlete’s Foot) เป็นเวลานาน จนเชื้อก่อโรคน้ำกัดเท้าลุกลามมาทำให้ติดเชื้อราที่บริเวณขาหนีบ
 - เคยติดเชื้อบริเวณขาหนีบมาก่อน
 - สวมกางเกงชั้นใน กางเกง หรือกระโปรงที่รัดแน่นจนเกินไป
 - มีภาวะสุขภาพ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน
 - ใช้ยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) รวมทั้งกินยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน
 
อาการของการติด เชื้อรา ที่ขาหนีบผู้หญิง
อาการของการติดเชื้อราที่ขาหนีบผู้หญิง อาจมีดังนี้
- มีผื่นแดงรูปครึ่งวงกลมต่อ ๆ กัน มีขอบเขตนูนขึ้นชัดเจน ขึ้นกระจายตามผิวหนัง
 - มักเกิดการติดเชื้อที่บริเวณปากช่องคลอด ขาหนีบ และเชื้ออาจขยายไประหว่างทวารหนักและช่องคลอด
 - ผื่นแดงสามารถลุกลามไปยังด้านในของต้นขา ช่องท้องส่วนล่าง และบริเวณหัวหน่าว
 - มีตุ่มนูนคันและตุ่มหนองขึ้นตามแนวขอบของผิวหนังที่ติดเชื้อรา
 - มีอาการคัน
 
วิธีรักษาเชื้อรา ที่ขาหนีบผู้หญิง
การรักษาเชื้อราที่ขาหนีบผู้หญิง อาจทำได้ดังนี้
- ใช้ยาต้านเชื้อราเฉพาะที่ เช่น อิมิดาโซล (Imidazoles) เทอร์บินาฟีน (Terbinafine) ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตและกำจัดเชื้อราก่อโรค
 - รับประทานยาต้านเชื้อรา เช่น เทอร์บินาฟีน อิทราโคนาโซล (Itraconazole) กริเซโอฟูลวิน (Griseofulvin) ฟลูโคนาโซล (Fluconazole) สำหรับการติดเชื้อที่ลุกลามและเรื้อรัง โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
 - ทายาสเตียรอยด์เฉพาะที่แบบอ่อน เพื่อบรรเทาอาการคัน แต่ไม่ควรใช้เป็นยาเดี่ยวหรือใช้ในระยะยาว
 
นอกจากนี้ ควรดูแลตัวเองด้วยวิธีต่อไปนี้ร่วมด้วย
- ล้างบริเวณขาหนีบด้วยน้ำหรือน้ำเกลือเท่านั้น หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอดและการใช้สบู่หอม เจลอาบน้ำ หรือผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ที่มีส่วนประกอบของน้ำหอม พาราเบน หรือแอลกอฮอล์ ที่อาจทำให้อาการระคายเคืองแย่ลง
 - หลังจากล้างน้ำบริเวณขาหนีบและอวัยวะเพศให้เช็ดให้แห้ง งดอับชื้น
 - ใช้ผ้าขนหนูแยกต่างหากเพื่อเช็ดบริเวณที่ติดเชื้อให้แห้ง หรือใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดบริเวณขาหนีบเป็นบริเวณสุดท้าย และควรซักผ้าเช็ดตัวทุกวัน
 - ล้างมือก่อนและหลังทำความสะอาดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
 - หลีกเลี่ยงการเกาบริเวณผิวหนังที่ติดเชื้อ
 - หลีกเลี่ยงการสวมชุดชั้นในที่คับ รัดเกินไป
 - สวมกางเกงชั้นในผ้าฝ้าย เพราะอาจช่วยดูดซับความชื้น ระบายอากาศได้ดี และทำให้ขาหนีบและผิวหนังโดยรอบอับชื้นเกินไป
 - หากมีน้ำหนักเกินให้ควบคุมน้ำหนัก
 - หลีกเลี่ยงการรับประทานยาฆ่าเชื้อติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
 
การติดเชื้อราที่ขาหนีบสามารถรักษาให้อาการบรรเทาลงและหายสนิทได้ อย่างไรก็ตาม หากหยุดรักษาก่อนที่เชื้อราจะถูกกำจัดไปจนหมดหรือยังคงมีพฤติกรรมที่เสี่ยงติดเชื้อรา ก็อาจทำให้ติดเชื้อซ้ำได้อีกในภายหลัง
วิธีดูแลตัวเองเพื่อป้องกันการติดเชื้อรา
การดูแลตัวเองด้วยวิธีต่อไปนี้ อาจช่วยป้องกันไม่ให้ขาหนีบติดเชื้อราหรือป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีก
- หลีกเลี่ยงการสวมกางเกงตัวเดิมติดต่อกันหลายวัน โดยเฉพาะกางเกงหนา ๆ เช่น กางเกงยีนส์
 - รักษาความสะอาดบริเวณขาหนีบให้ดี และดูแลให้ขาหนีบแห้งอยู่เสมอ
 - อาบน้ำเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะหลังเหงื่อออกมากหรือหลังออกกำลังกาย หลังอาบน้ำควรเช็ดตัวให้แห้ง ไม่ควรสวมเสื้อผ้าขณะตัวยังเปียก
 - ซักเสื้อผ้าและชุดชั้นในหลังสวมใส่ทุกครั้ง
 - หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าขนหนู ชุดชั้นใน ร่วมกับผู้อื่น
 - หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อราจนกว่าบุคคลนั้นจะรักษาจนหายสนิท
 




















