คำจำกัดความ
การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ คืออะไร
การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection หรือ UTI) เกิดขึ้นเมื่อมีเชื้อแบคทีเรียในอวัยวะใดๆ ของทางเดินปัสสาวะ ทางเดินปัสสาวะหมายรวมถึงอวัยวะในการสร้าง เก็บรักษา และขับถ่ายปัสสาวะ ซึ่งได้แก่ ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะมักมีการติดเชื้อมากที่สุด
การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะพบได้บ่อยแค่ไหน
โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่ผู้หญิงมีอัตราการเกิดโรคนี้สูงกว่าผู้ชายเนื่องจากมีท่อปัสสาวะที่สั้นกว่า จึงติดเชื้อได้ง่ายกว่า
อาการ
อาการของการ ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
อาการทั่วไป ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย มีอาการเจ็บเวลาปัสสาวะ ไม่สามารถควบคุมปัสสาวะได้ ปัสสาวะขุ่นหรือมีกลิ่นเหม็น และมีหนองหรือเลือดในปัสสาวะ ผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้หญิงจะรู้สึกเจ็บที่หัวหน่าว นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการอื่นๆ อีก ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ติดเชื้อ เช่น
- หากไตติดเชื้อ ผู้ป่วยอาจมีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ตัวสั่น หรือปวดหลัง
- หากกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ ผู้ป่วยจะรู้สึกถึงแรงกดบริเวณด้านหน้าเชิงกราน (ช่องท้องส่วนล่าง) ปัสสาวะบ่อย และปัสสาวะมีเลือดปน
- หากท่อปัสสาวะติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บเมื่อปัสสาวะ หรือมีสารคัดหลั่งออกจากท่อปัสสาวะ
สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการนอกเหนือจากที่ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ โปรดปรึกษาคุณหมอ
ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด
หากคุณสังเกตได้ถึงอาการใดๆ ที่ระบุไว้ข้างต้น โดยเฉพาะเวลาปัสสาวะ คุณควรไปพบคุณหมอ หากคุณยังคงมีไข้ในเวลา 48 ชั่วโมงหลังจากใช้ยาปฏิชีวนะ หรือมีอาการเป็นซ้ำหลังจากใช้ยา ควรไปพบคุณหมอทันที
ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ
สาเหตุ
สาเหตุของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
สาเหตุที่พบได้มากที่สุดคือแบคทีเรียเอสเชอริเชีย โคไล (Escherichia coli) หรืออีโคไล (E.coli) ซึ่งพบได้ในลำไส้ แต่ก็สามารถเกิดจากแบคทีเรียชนิดอื่นๆ ได้เช่นกัน เชื้ออีโคไลที่อยู่บนผิวหนังหรืออยู่ใกล้ทวารหนัก จะเข้าไปในทางเดินปัสสาวะและแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ผู้หญิงมีความเสี่ยงในการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากท่อปัสสาวะและทวารหนักอยู่ใกล้กันมากกว่า
การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ สามารถเกิดจากแบคทีเรียที่แพร่กระจายเข้าไปในทางเดินปัสสาวะผ่านทางสายสวนที่ใช้ในการรักษาทางการแพทย์ หรือเมื่อมีก้อนนิ่ว หรือมีความผิดปกติในการคลอดบุตร ที่ทำให้ทางเดินปัสสาวะอุดกั้น หรือหลังจากมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงยังสามารถเกิดจากการติดเชื้อจากบริเวณอื่นๆ ไปยังไตได้ด้วย ทางเดินปัสสาวะติดเชื้อไม่ติดต่อทางการสัมผัส แต่การมีเพศสัมพันธ์เมื่อติดเชื้อจะทำให้เจ็บปวด และเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของการ ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
ปัจจัยเสี่ยงโรคนี้มีหลายประการ ได้แก่
- เพศ : ท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นกว่าของผู้ชาย แบคทีเรียจึงเดินทางไปยังกระเพาะปัสสาวะได้ง่ายกว่า และทำให้ติดเชื้อได้ง่ายกว่าผู้ชาย
- การมีเพศสัมพันธ์ : เพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- การคุมกำเนิด : ผู้หญิงที่ใช้แผ่นครอบปากมดลูก (diaphragm) หรือยาฆ่าเชื้ออสุจิ (spermicide) มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงกว่า
- วัยหมดประจำเดือน : ภาวะหลังหมดประจำเดือนและพร่องฮอร์โมนเอสโตรเจนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางเดินปัสสาวะ ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- ท่อปัสสาวะผิดปกติ : ทารกที่มีท่อปัสสาวะรูปร่างผิดปกติไม่สามารถขับถ่ายปัสสาวะได้ตามปกติ หรือมีปัสสาวะคั่งค้างในท่อปัสสาวะซึ่งทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้น
- มีภาวะปัสสาวะอุดกั้น : ก้อนนิ่วหรือต่อมลูกหมากโตทำให้เกิดปัสสาวะคั่งค้างในกระเพาะปัสสาวะ
- มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ : เบาหวานและภาวะอื่น ๆ ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อในการเกิดโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
- ใช้สายสวนปัสสาวะ : เกิดขึ้นในผู้ที่ไม่สามารถปัสสาวะได้เอง และต้องใช้สายสวนในการปัสสาวะ อาจเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล ผู้ป่วยที่เป็นโรคระบบประสาทที่ไม่สามารถควบคุมการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะและผู้ป่วยอัมพาต
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยโรค ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
แพทย์จะตรวจปัสสาวะ (urinalysis total) ซึ่งตัวอย่างปัสสาวะที่นำมาตรวจไม่ควรติดเชื้อที่ภายนอก เพื่อให้ได้ตัวอย่างปัสสาวะที่ถูกต้อง ผู้ป่วยไม่ควรเก็บปัสสาวะตั้งแต่เริ่มขับถ่าย แต่ควรถ่ายปัสสาวะช่วงแรกทิ้งก่อน ในบางครั้งการตรวจปัสสาวะสัมพันธ์กับ urine implantation ซึ่งเป็นการทดสอบที่ใช้ตัวอย่างปัสสาวะสำหรับการเพาะเชื้อแบคทีเรียในห้องปฏิบัติการ การทดสอบนี้จะทำให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับชนิดของแบคทีเรียที่ทำให้ท่อปัสสาวะติดเชื้อ และกำหนดการใช้ยาที่ให้ผลการรักษาดีที่สุด
หากแพทย์สงสัยว่าอาการผิดปกติเกี่ยวกับท่อปัสสาวะทำให้เกิดโรคซ้ำ คุณจะต้องเข้ารับการตรวจอัลตราซาวด์ หรือการตรวจวินิจฉัยโรคด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้ภาพถ่ายร่างกายที่ชัดมากขึ้น ในบางกรณี แพทย์จะใช้สีที่ต่างกันเพื่อระบุโครงสร้างของระบบทางเดินปัสสาวะ และอาจต้องตรวจกรวยไตอักเสบ (pyelonephritis) ทางเส้นเลือด
หากคุณทรมานจากภาวะท่อปัสสาวะติดเชื้อที่กลับมาเป็นซ้ำ แพทย์จะใช้หลอดยาวและบางที่ติดตั้งหลอดไฟเอาไว้ ส่องเข้าไปภายในท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ เพื่อให้ตรวจวินิจฉัยอาการได้ง่ายขึ้น
การรักษาโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
ผู้ป่วยมักใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลา 3-10 วัน ให้ดื่มน้ำเพื่อช่วยขับปัสสาวะ นอกจากนี้ ให้ดื่มน้ำผลไม้และรับประทานวิตามินซีเพื่อเพิ่มกรดในปัสสาวะซึ่งจะเป็นประโยชน์ และควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน แพทย์จะสั่งยาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บในขณะปัสสาวะ เช่น ยาฟีนาโซไพริดีน (Phenazopyridine) ยานี้จะเปลี่ยนสีของปัสสาวะ และหากจำเป็น แพทย์อาจสั่งให้ใช้ยาบรรเทาปวด เช่น ยาอะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) ผู้ป่วยสามารถแช่น้ำอุ่นเพื่อบรรเทาอาการปวดได้ ควรพักผ่อนให้เพียงพอจนกว่าอาการไข้และอาการเจ็บบรรเทาลง
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเอง
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเองที่ช่วยรับมือกับการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเองดังต่อไปนี้ จะช่วยให้คุณรับมือกับการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว โดยคุณสามารถดื่มน้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้ก็ได้
- ควรรักษาความสะอาดให้ถูกสุขอนามัย เวลาเข้าห้องน้ำ ผู้หญิงต้องเช็ดทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลัง ให้หลีกเลี่ยงการฉีดหรือพ่นน้ำเข้าไปในช่องคลอด ควรอาบน้ำฝักบัวแทนการแช่น้ำ เลือกสวมชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้าย และหลีกเลี่ยงการสวมใส่กางเกงที่คับแน่น
- ลดความเสี่ยงติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ โดยผู้หญิงควรปัสสาวะและทำความสะอาดก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์ ให้หลีกเลี่ยงการใช้แผ่นครอบปากมดลูก หรือยาฆ่าเชื้ออสุจิ
- หากปวดปัสสาวะต้องขับถ่ายปัสสาวะออกให้หมด อย่าอั้นหรือกลั้นปัสสาวะ
- ให้แจ้งแพทย์ทราบหากคุณใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะบางชนิดสามารถทำปฏิกิริยากับยาเม็ดคุมกำเนิดได้
- หากคุณมีอาการท่อปัสสาวะติดเชื้อ แพทย์อาจสั่งให้ใช้ยาปฏิชีวนะ ให้ใช้ยาปฏิชีวนะจนกว่าอาการจะหายขาด
หากคุณมีข้อสงสัย โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อให้เข้าใจได้ดีขึ้นถึงวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด