backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก

Dysphagia คือ อะไร และอันตรายอย่างไร

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย เนตรนภา ปะวะคัง · แก้ไขล่าสุด 28/03/2023

Dysphagia คือ อะไร และอันตรายอย่างไร

Dysphagia คือ ภาวะกลืนลำบาก หมายถึงอาการที่ร่างกายไม่สามารถกลืนอาหารหรือน้ำได้ตามปกติ ส่งผลกระทบต่อการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการสำลักจนเศษอาหารอุดในหลอดลม ปิดกั้นทางเดินหายใจ และทำให้หายใจไม่ออกจนอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้

เรียนรู้กลไกการกลืน

การกลืนสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ

  1. ระยะช่องปาก (oral phase)
  2. ระยะคอหอย (pharyngeal phase)
  3. ระยะหลอดอาหาร (esophageal phase)

เมื่อกินอาหารเข้าไป อาหารจะถูกเคี้ยวและผสมรวมกับน้ำลาย กลายเป็นก้อนอาหาร จากนั้นลิ้นก็จะดันก้อนอาหารดังกล่าวไปที่ด้านหลังของปาก และเมื่อก้อนอาหารถูกลิ้นผลักมาทางด้านหลังปากแล้ว หูรูดของหลอดอาหารส่วนบนก็จะคลายตัว และเปิดทางให้อาหารผ่านเข้าสู่หลอดอาหารจนหมด จากนั้นหูรูดหลอดอาหารส่วนบนก็จะหดตัว และกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ส่วนก้อนอาหารก็จะเคลื่อนลงไปยังกระเพาะอาหาร ถือว่าสิ้นสุดกระบวนการกลืน

Dysphagia คือ อะไร

Dysphagia หรือ ภาวะกลืนลำบาก เป็นภาวะที่ผู้ป่วยไม่สามารถกลืนอาหารหรือของเหลวได้อย่างเป็นปกติ กล่าวคือ ร่างกายต้องใช้เวลาในการกลืน และใช้ความพยายามในการส่งอาหารจากช่องปากสู่กระเพาะอาหารนานผิดปกติ บางรายอาจรู้สึกเจ็บขณะกลืนอาหาร หรืออาจถึงขั้นกลืนอาหารไม่ได้เลย

ภาวะกลืนลำบากสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ การที่กลืนอาหารลำบากอาจเป็นเพราะกินอาหารเร็วเกินไป หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดพอ ซึ่งสามารถพบได้ทั่วไป และไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด หากกินอาหารให้ช้าลง หรือเคี้ยวอาหารให้ละเอียดขึ้น ปัญหากลืนลำบากที่มีก็จะดีขึ้นตามไปด้วย แต่หากมีภาวะกลืนลำบากติดต่อกันเป็นเวลานาน แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์ เพราะนั่นอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพอื่นที่ร้ายแรง ซึ่งต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วน

อาการของ ภาวะกลืนลำบาก

สัญญาณและอาการของภาวะกลืนลำบากที่พบได้ทั่วไป ได้แก่

  • รู้สึกเจ็บขณะกลืน (Odynophagia)
  • ไม่สามารถกลืนได้
  • เคี้ยวอาหารลำบาก
  • รู้สึกว่ามีอาหารติดคอ หรือจุกหน้าอก
  • น้ำลายไหล
  • เสียงแหบ
  • สำรอกอาหาร
  • แสบร้อนกลางอกเป็นประจำ
  • มีอาหารหรือกรดไหลย้อนขึ้นมาในลำคอ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ไอ ขย้อน หรือสำลักขณะกลืน

สาเหตุของภาวะกลืนลำบาก

ภาวะกลืนลำบากที่เกิดขึ้น อาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้

  • โรคอะคาเลเซีย (Achalasia)

ภาวะที่หลอดอาหารผิดปกติอย่างรุนแรง เกิดจากหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างที่เชื่อมต่อกับกระเพาะอาหารไม่คลายตัว อาหารจึงไม่สามารถเคลื่อนลงสู่กระเพาะอาหารได้ และไหลย้อนกลับขึ้นมาในลำคอ

  • เนื้องอกหลอดอาหาร (Esophageal tumor)

ยิ่งเนื้องอกเจริญขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งกลืนอาหารและน้ำได้ลำบากขึ้น

  • สิ่งแปลกปลอม
  • บางครั้งในอาหารที่กินเข้าไปก็อาจมีสิ่งแปลกปลอมที่ไปอุดตันในลำคอหรือหลอดอาหารได้ และหากเป็นผู้สูงอายุที่ใส่ฟันปลอม ก็ยิ่งมีโอกาสที่อาหารจะเข้าไปติดในลำคอหรือหลอดอาหารมากขึ้นด้วย

    • โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD)

    กรดในกระเพาะอาหารที่ไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหารจะทำลายเนื้อเยื่อหลอดอาหาร และทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารหดเกร็ง หลอดอาหารเป็นแผลและแคบลง จึงกลืนอาหารได้ลำบากขึ้น

    • โรคหนังแข็ง (Scleroderma)

    โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลคอลลาเจนก่อตัวสะสมจนกลายเป็นพังผืด นอกจากจะส่งผลต่ออวัยวะภายนอกอย่างผิวหนัง ทำให้ผิวหนังแข็งและหนาขึ้นแล้ว ก็ส่งผลต่ออวัยวะภายใน อย่างหลอดอาหารด้วย คือ จะทำให้หลอดอาหารเคลื่อนไหวได้น้อยลง หลอดอาหารอักเสบ หรือมีกรดไหลย้อน จนส่งผลให้กลืนลำบาก หรือเจ็บเวลากลืน

    • การรักษาด้วยรังสี หรือรังสีรักษา (Radiation therapy)

    การรักษามะเร็งด้วยวิธีนี้อาจทำให้หลอดอาหารอักเสบ หรือเกิดแผลในหลอดอาหาร จนส่งผลให้กลืนลำบากได้

    • โรคระบบประสาท (Neurological disorders)

    เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งหรือโรคเอ็มเอส โรคกล้ามเนื้อเสื่อม (Duchenne Muscular Dystrophy หรือ DMD) โรคพาร์กินสัน ก็สามารถทำให้กลืนลำบากได้

    นอกจากสาเหตุข้างต้นแล้ว ปัจจัยเสี่ยงบางประการ เช่น การสูงอายุ ก็อาจทำให้เกิดภาวะกลืนลำบากได้ง่ายขึ้น ยิ่งหากเป็นผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคพาร์กินสัน โรคหลอดเลือดสมอง ก็ยิ่งทำให้กลืนลำบากมากขึ้นไปอีก

    กลืนลำบาก รักษาได้อย่างไร

    วิธีรักษาภาวะกลืนลำบากที่นิยมใช้ ได้แก่

    • การบำบัดเพื่อฟื้นฟูสภาพการกลืน (Swallowing therapy)
    • โดยนักบำบัดการพูดและการสื่อสาร หรือนักแก้ไขการพูด (Speech-Language Pathologist) ที่จะช่วยให้คุณฝึกกลืน จนสามารถกลืนอาหารได้สะดวกขึ้น

      • ปรับเปลี่ยนอาหารที่กินและพฤติกรรมการกินอาหาร

      เช่น กินอาหารที่อ่อนนิ่มขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีลักษณะเหนียวข้น กินอาหารให้ช้าลง เคี้ยวอาหารให้ละเอียดขึ้น และหากไม่รู้ว่าจะเริ่มปรับเปลี่ยนอย่างไร ก็สามารถขอคำปรึกษาจากนักโภชนาการและนักบำบัดได้

      • กินอาหารผ่านสายให้อาหาร

      หากมีปัญหากลืนลำบากอย่างรุนแรง จนกินอะไรไม่ได้ และเสี่ยงขาดสารอาหาร หรือเสี่ยงมีภาวะขาดน้ำ แพทย์อาจรักษาด้วยการให้อาหารผ่านสายยาง และในกรณีนี้ แพทย์อาจต้องให้ยาผ่านทางสายยางให้อาหารด้วย

      • การใช้ยา

      แพทย์อาจให้ใช้ยากลุ่ม proton pump inhibitors หรือ PPIs ซึ่งเป็นยายับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยลดอาการอาหารไม่ย่อย และอาจช่วยบรรเทาอาการหลอดอาหารตีบแคบลง หรือแผลในหลอดอาหารได้ด้วย

      หมายเหตุ

      Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด



      ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

      พลอย วงษ์วิไล


      เขียนโดย เนตรนภา ปะวะคัง · แก้ไขล่าสุด 28/03/2023

      ad iconโฆษณา

      คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

      ad iconโฆษณา
      ad iconโฆษณา