Dysphagia คือ ภาวะกลืนลำบาก หมายถึงอาการที่ร่างกายไม่สามารถกลืนอาหารหรือน้ำได้ตามปกติ ส่งผลกระทบต่อการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการสำลักจนเศษอาหารอุดในหลอดลม ปิดกั้นทางเดินหายใจ และทำให้หายใจไม่ออกจนอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้
เรียนรู้กลไกการกลืน
การกลืนสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ
- ระยะช่องปาก (oral phase)
- ระยะคอหอย (pharyngeal phase)
- ระยะหลอดอาหาร (esophageal phase)
เมื่อกินอาหารเข้าไป อาหารจะถูกเคี้ยวและผสมรวมกับน้ำลาย กลายเป็นก้อนอาหาร จากนั้นลิ้นก็จะดันก้อนอาหารดังกล่าวไปที่ด้านหลังของปาก และเมื่อก้อนอาหารถูกลิ้นผลักมาทางด้านหลังปากแล้ว หูรูดของหลอดอาหารส่วนบนก็จะคลายตัว และเปิดทางให้อาหารผ่านเข้าสู่หลอดอาหารจนหมด จากนั้นหูรูดหลอดอาหารส่วนบนก็จะหดตัว และกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ส่วนก้อนอาหารก็จะเคลื่อนลงไปยังกระเพาะอาหาร ถือว่าสิ้นสุดกระบวนการกลืน
Dysphagia คือ อะไร
Dysphagia หรือ ภาวะกลืนลำบาก เป็นภาวะที่ผู้ป่วยไม่สามารถกลืนอาหารหรือของเหลวได้อย่างเป็นปกติ กล่าวคือ ร่างกายต้องใช้เวลาในการกลืน และใช้ความพยายามในการส่งอาหารจากช่องปากสู่กระเพาะอาหารนานผิดปกติ บางรายอาจรู้สึกเจ็บขณะกลืนอาหาร หรืออาจถึงขั้นกลืนอาหารไม่ได้เลย
ภาวะกลืนลำบากสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ การที่กลืนอาหารลำบากอาจเป็นเพราะกินอาหารเร็วเกินไป หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดพอ ซึ่งสามารถพบได้ทั่วไป และไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด หากกินอาหารให้ช้าลง หรือเคี้ยวอาหารให้ละเอียดขึ้น ปัญหากลืนลำบากที่มีก็จะดีขึ้นตามไปด้วย แต่หากมีภาวะกลืนลำบากติดต่อกันเป็นเวลานาน แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์ เพราะนั่นอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพอื่นที่ร้ายแรง ซึ่งต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วน
อาการของ ภาวะกลืนลำบาก
สัญญาณและอาการของภาวะกลืนลำบากที่พบได้ทั่วไป ได้แก่
- รู้สึกเจ็บขณะกลืน (Odynophagia)
- ไม่สามารถกลืนได้
- เคี้ยวอาหารลำบาก
- รู้สึกว่ามีอาหารติดคอ หรือจุกหน้าอก
- น้ำลายไหล
- เสียงแหบ
- สำรอกอาหาร
- แสบร้อนกลางอกเป็นประจำ
- มีอาหารหรือกรดไหลย้อนขึ้นมาในลำคอ
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ไอ ขย้อน หรือสำลักขณะกลืน
สาเหตุของภาวะกลืนลำบาก
ภาวะกลืนลำบากที่เกิดขึ้น อาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
- โรคอะคาเลเซีย (Achalasia)
ภาวะที่หลอดอาหารผิดปกติอย่างรุนแรง เกิดจากหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างที่เชื่อมต่อกับกระเพาะอาหารไม่คลายตัว อาหารจึงไม่สามารถเคลื่อนลงสู่กระเพาะอาหารได้ และไหลย้อนกลับขึ้นมาในลำคอ
- เนื้องอกหลอดอาหาร (Esophageal tumor)
ยิ่งเนื้องอกเจริญขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งกลืนอาหารและน้ำได้ลำบากขึ้น
สิ่งแปลกปลอม บางครั้งในอาหารที่กินเข้าไปก็อาจมีสิ่งแปลกปลอมที่ไปอุดตันในลำคอหรือหลอดอาหารได้ และหากเป็นผู้สูงอายุที่ใส่ฟันปลอม ก็ยิ่งมีโอกาสที่อาหารจะเข้าไปติดในลำคอหรือหลอดอาหารมากขึ้นด้วย
- โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD)
กรดในกระเพาะอาหารที่ไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหารจะทำลายเนื้อเยื่อหลอดอาหาร และทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารหดเกร็ง หลอดอาหารเป็นแผลและแคบลง จึงกลืนอาหารได้ลำบากขึ้น
- โรคหนังแข็ง (Scleroderma)
โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลคอลลาเจนก่อตัวสะสมจนกลายเป็นพังผืด นอกจากจะส่งผลต่ออวัยวะภายนอกอย่างผิวหนัง ทำให้ผิวหนังแข็งและหนาขึ้นแล้ว ก็ส่งผลต่ออวัยวะภายใน อย่างหลอดอาหารด้วย คือ จะทำให้หลอดอาหารเคลื่อนไหวได้น้อยลง หลอดอาหารอักเสบ หรือมีกรดไหลย้อน จนส่งผลให้กลืนลำบาก หรือเจ็บเวลากลืน
- การรักษาด้วยรังสี หรือรังสีรักษา (Radiation therapy)
การรักษามะเร็งด้วยวิธีนี้อาจทำให้หลอดอาหารอักเสบ หรือเกิดแผลในหลอดอาหาร จนส่งผลให้กลืนลำบากได้
- โรคระบบประสาท (Neurological disorders)
เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งหรือโรคเอ็มเอส โรคกล้ามเนื้อเสื่อม (Duchenne Muscular Dystrophy หรือ DMD) โรคพาร์กินสัน ก็สามารถทำให้กลืนลำบากได้
นอกจากสาเหตุข้างต้นแล้ว ปัจจัยเสี่ยงบางประการ เช่น การสูงอายุ ก็อาจทำให้เกิดภาวะกลืนลำบากได้ง่ายขึ้น ยิ่งหากเป็นผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคพาร์กินสัน โรคหลอดเลือดสมอง ก็ยิ่งทำให้กลืนลำบากมากขึ้นไปอีก
กลืนลำบาก รักษาได้อย่างไร
วิธีรักษาภาวะกลืนลำบากที่นิยมใช้ ได้แก่
การบำบัดเพื่อฟื้นฟูสภาพการกลืน (Swallowing therapy) โดยนักบำบัดการพูดและการสื่อสาร หรือนักแก้ไขการพูด (Speech-Language Pathologist) ที่จะช่วยให้คุณฝึกกลืน จนสามารถกลืนอาหารได้สะดวกขึ้น
- ปรับเปลี่ยนอาหารที่กินและพฤติกรรมการกินอาหาร
เช่น กินอาหารที่อ่อนนิ่มขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีลักษณะเหนียวข้น กินอาหารให้ช้าลง เคี้ยวอาหารให้ละเอียดขึ้น และหากไม่รู้ว่าจะเริ่มปรับเปลี่ยนอย่างไร ก็สามารถขอคำปรึกษาจากนักโภชนาการและนักบำบัดได้
หากมีปัญหากลืนลำบากอย่างรุนแรง จนกินอะไรไม่ได้ และเสี่ยงขาดสารอาหาร หรือเสี่ยงมีภาวะขาดน้ำ แพทย์อาจรักษาด้วยการให้อาหารผ่านสายยาง และในกรณีนี้ แพทย์อาจต้องให้ยาผ่านทางสายยางให้อาหารด้วย
แพทย์อาจให้ใช้ยากลุ่ม proton pump inhibitors หรือ PPIs ซึ่งเป็นยายับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยลดอาการอาหารไม่ย่อย และอาจช่วยบรรเทาอาการหลอดอาหารตีบแคบลง หรือแผลในหลอดอาหารได้ด้วย