หากเป็นโรคฟินิลคีโตนูเรียห้ามบริโภคแอสปาแตม หรือน้ำตาลเทียมเด็ดขาด เพราะร่างกายจะไม่สามารถเผาผลาญฟีนิลอะลานีน ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบหลักของแอสปาแตมได้
อาหาร Sugar-free ก็อาจมีแอสปาแตม
อาหารและเครื่องดื่มหลายชนิดที่ระบุว่า Sugar-free หรือ ไม่มีน้ำตาล นั่นหมายถึง อาหารและเครื่องดื่มนั้น ๆ ไม่ได้เติมน้ำตาล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้เติมสารให้ความหวานชนิดอื่น ๆ และแอสปาแตมก็เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่นิยมนำมาใช้ จึงอาจพบแอสปาแตมได้ในอาหารและเครื่องดื่มแบบไม่มีน้ำตาลต่าง ๆ มากมาย เช่น
- น้ำอัดลมแบบไดเอท
- ไอศกรีมแบบไม่มีน้ำตาล
- น้ำผลไม้แคลอรี่ต่ำ
- หมากฝรั่งไม่มีน้ำตาล
- โยเกิร์ตไม่เติมน้ำตาล
- ลูกอมไม่มีน้ำตาล
นอกจากจะหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ระบุว่ามีส่วนผสมของแอสปาแตมแล้ว ก็ควรสังเกตคำว่า ฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) บนผลิตภัณฑ์ด้วย เพราะบางครั้งแอสปาแตมก็อาจใช้ชื่อนี้แทน และนอกจากอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้แล้วก็อาจจะพบแอสปาแตมในรูปแบบเดียวกับน้ำตาลซอง หรือน้ำตาลก้อนได้ด้วย
ติดหวานใช้อะไรแทนแอสปาแตมดี
หากอยากเพิ่มความหวานให้กับเครื่องดื่มหรืออาหารที่รับประทาน แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความหวานจากธรรมชาติเหล่านี้แทนแอสปาแตม
- น้ำผึ้ง
- น้ำเชื่อมเมเปิ้ล หรือเมเปิ้ลไซรัป
- น้ำผลไม้คั้นสด
- หญ้าหวาน
- แบล็กสแตรป โมลาส (Blackstrap molasses) หรือกากน้ำตาลที่มีปริมาณน้ำตาลประมาณ 50-60%
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นความหวานจากธรรมชาติ แต่ก็ควรบริโภคในปริมาณที่พอดีกับความต้องการของร่างกาย เช่น น้ำผึ้ง ควรบริโภควันละประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ รวมแล้วต้องไม่เกิน 5 ช้อนโต๊ะ/วัน จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำตาลเกิน และน้ำหนักเกิน เนื่องจากสารให้ความหวานส่วนใหญ่มักมีปริมาณแคลอรี่สูง
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย