ผู้ที่มีรอบเอวมากกว่าปกติ โดยผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่า 40 นิ้ว และผู้หญิงที่มีรอบเอวมากกว่า 35 นิ้ว อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะดื้ออินซูลิน
- รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์
การรับประทานอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม นมปรุงแต่งรส ผลไม้แปรรูป อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวาน
คนที่ขาดการออกกำลังกาย มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะเวลาที่ออกกำลังกายร่างกายจะใช้น้ำตาลในเลือดเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานมากขึ้น และอาจช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
- คนในครอบครัวมีประวัติเคยเป็นโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคที่ถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรม หากสมาชิกในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นโรคเบาหวานมาก่อน อาจเพิ่มความของโรคเบาหวานได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป
- ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ เป็นภาวะที่ส่งผลให้ผู้หญิงมีประจำเดือนผิดปกติ มีลักษณะทางร่างกายที่เปลี่ยนไป เช่น มีขนขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย สิวขึ้น ผมร่วง น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเพิ่มปัจจัยเสี่ยงของภาวะก่อนเบาหวาน
ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ เช่น การอดนอน นอนไม่เป็นเวลา นอนไม่หลับ อาจทำให้ระดับน้ำตาลสูงกว่าปกติ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของภาวะก่อนเบาหวานและโรคเบาหวานชนิดที่ 2
- มีกลุ่มอาการของโรคอ้วนลงพุง
ผู้ที่มีกลุ่มอาการของโรคอ้วนลงพุง (Metabolic syndrome) ซึ่งสาเหตุที่เชื่อมโยงกับภาวะก่อนเบาหวานนั้น อาจมาจาก ความดันโลหิตสูง มีคอเลสเตอรอล และมีระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์มาก เมื่อถูกสะสมไว้มาก ๆ และไม่มีการปรับพฤติกรรมใด ๆ เพื่อแก้ไข อาจสามารถพัฒนาเข้าสู่โรคเบาหวานได้ในที่สุดเช่นเดียวกัน
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์ทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยภาวะเสี่ยงก่อนเป็นเบาหวาน
วิธีการวินิจฉัยภาวะก่อนเบาหวานหลัก ๆ มี 3 วิธี ดังนี้
- การตรวจระดับน้ำตาลสะสม คือ การทดสอบนี้วัดเปอร์เซ็นต์ของน้ำตาลในเลือด ระหว่าง ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) หรือฮีโมโกลบินปกติ กับไกลโคซิเลต ฮีโมโกลบิน (Glycosylated hemoglobin) หรือฮีโมโกลบินที่มีโมเลกุลของกลูโคสเกาะติดอยู่ เป็นเวลา 2-3 เดือน ระดับน้ำตาลสะสมที่ปกติควรต่ำกว่า 5.7% ระดับน้ำตาลสะสมระหว่าง 5.7 และ 6.4% นั้นถือว่าเป็นภาวะเสี่ยงก่อนเป็นเบาหวาน ระดับ 6.5% หรือมากกว่าในการตรวจทั้งสองรอบที่แยกจากกันจะบ่งชี้ว่าเป็นโรคเบาหวาน
- การวัดระดับกลูโคสในพลาสมา คุณหมอจะใช้ตัวอย่างเลือดหลังจากผู้ป่วยอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง มาตรวจวัดระดับน้ำตาลของเลือด หากระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่าง 100-125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร แสดงว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูง เข้าเกณฑ์โรคเบาหวาน
- การทดสอบความทนทานต่อน้ำตาล คุณหมอจะวัดระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากที่ผู้ป่วยอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เมื่อตรวจวัดระดับเรียบร้อย คุณหมอจะให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเชื่อม แล้วจะทำการวัดระดับน้ำตาลในเลือดอีกครั้ง หากระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่าง 140-199 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถือว่าเป็นภาวะเสี่ยงก่อนเป็นเบาหวาน
การรักษาภาวะก่อนเป็นเบาหวาน
วิธีการรักษาภาวะก่อนเบาหวานที่เหมาะสม คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หากพบอาการผิดปกติจะได้ทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการควบคุมการรับประทานอาหารร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ในกรณีผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงแต่ไม่สูงพอที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน คุณหมออาจแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ยาเพื่อควบคุมระดับอินซูลิน เช่น ยาเมทฟอร์มิน (Metformin) ยากลูโคเฟจ (Glucophage)
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเอง
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเองเพื่อลดความเสี่ยงภาวะก่อนเบาหวาน
วิธีดูแลตนเองเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะก่อนเบาหวาน มีดังต่อไปนี้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เน้นการรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ ผัก ผลไม้ ธัญพืช
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และจำกัดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- ควบคุมความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลภายในร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม โดยมีค่าดัชนีมวลกายระหว่าง 18.5-22.90
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย