Hyperemesis gravidarum คือ ภาวะแพ้ท้องรุนแรง พบมากในหญิงตั้งครรภ์ระยะแรก สาเหตุของภาวะนี้ยังไม่แน่ชัด แต่อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย หรือการเข้าใกล้สิ่งกระตุ้นบางอย่างที่ทำให้แพ้ท้อง โดยทั่วไป อาจรักษาด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร รวมไปถึงการใช้ยาแก้อาเจียน ยาลดกรด เป็นต้น แต่หากดูแลตัวเองเบื้องต้นแล้วอาการยังไม่ทุเลาและกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
[embed-health-tool-pregnancy-weight-gain]
Hyperemesis gravidarum คือ อะไร
โดยปกติแล้ว หญิงตั้งครรภ์ในระยะแรกมักมีอาการแพ้ท้องที่อาจเกิดจากระดับฮอร์โมนเอชซีจีหรือฮอร์โมนการตั้งครรภ์ (hCG หรือ Human Chorionic Gonadotropin) ในร่างกายเปลี่ยนแปลงเพื่อช่วยให้ร่างกายปรับตัวเข้าสู่ภาวะตั้งครรภ์ได้ การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ไม่สบายตัวบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
แต่หญิงตั้งครรภ์ระยะแรกบางรายอาจมีอาการแพ้ท้องรุนแรงและถี่กว่าปกติ เรียกว่า Hyperemesis gravidarum มักเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 9-13 ของการตั้งครรภ์ ภาวะนี้มักไม่ทุเลาเมื่อเวลาผ่านไปสักพักเหมือนอาการแพ้ท้องทั่วไป ทั้งยังอาจทำให้หญิงตั้งครรภ์ไม่สามารถรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มได้ตามปกติ จนเสี่ยงเกิดภาวะขาดสารอาหารและขาดน้ำที่อาจส่งผลให้ปัสสาวะออกน้อยและมีสีเข้ม ผิวแห้ง อ่อนแรง หน้ามืด เป็นลม หรือรุนแรงจนถึงขั้นช็อคหรืออาเจียนเป็นเลือดได้
อาการ Hyperemesis gravidarum เป็นอย่างไร
อาการของ Hyperemesis gravidarum อาจมีดังนี้
- คลื่นไส้รุนแรง
- อาเจียนหนัก
- อาเจียนบ่อย หรืออาเจียนรุนแรงมีเลือดปน โดยมักจะเป็นมากในช่วงเช้าของวัน และหากอาการคลื่นไส้อาเจียนยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ อาจจะทำให้ส่งผลต่อเนื่องตามมา ได้แก่
- ปวดศีรษะ
- สับสน มึนงง
- หมดสติหรือเป็นลม
- น้ำหนักลดลงกว่า 5% หรือลดลงมากกว่าช่วงก่อนตั้งครรภ์
- ถ่ายปัสสาวะน้อยลง
- มีภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ผิวแห้ง
- มีภาวะตัวเหลือง (Jaundice)
- อ่อนเพลียรุนแรง
- หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น
- ความดันโลหิตต่ำ
วิธีรักษา Hyperemesis gravidarum
การรักษาอาการแพ้ท้องรุนแรง อาจทำได้ดังนี้
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
- รับประทานอาหารที่ย่อยได้ง่าย เช่น โจ๊กหมู ซุปมะเขือเทศ ปลากะพงนึ่งมะนาว มันฝรั่งต้ม กล้วยสุก น้ำเต้าหู้
- รับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ หลายมื้อ แทนการรับประทานมื้อใหญ่ทีเดียว
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ท้อง หากรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น ข้าวเหนียว กะทิ มะพร้าว แล้วอาการกำเริบหรือแย่ลง อาจเปลี่ยนไปรับประทานอาหารฤทธิ์เย็นแทน เช่น ข้าวยำธัญพืช แตงโม เมลอน แก้วมังกร น้ำใบเตยหอม
- จิบน้ำบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำในแต่ละครั้งในปริมาณมากเกินไป
การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นอาการแพ้ท้อง
การสัมผัส รับประทาน หรือเข้าใกล้สิ่งของบางอย่าง อาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ท้องรุนแรงและต่อเนื่องได้ จึงควรสังเกตว่าสิ่งของใดหรือพฤติกรรมใดที่ทำให้เกิดอาการ แล้วพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น ตัวอย่างสิ่งกระตุ้นอาการแพ้ท้อง เช่น
- เสียงรบกวนบางอย่าง เช่น เสียงโทรทัศน์ เสียงวิทยุ
- แสงสว่างหรือไฟกะพริบ
- ยาสีฟัน
- กลิ่น เช่น น้ำหอม ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ
- การสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่นจนเกินไป
- การโดยสารรถสาธารณะ หรือนั่งรถนาน ๆ
การรักษาทางการแพทย์
- การรับวิตามินเสริม เช่น
- ไพริดอกซีน (Pyridoxine) หรือวิตามินบี 6 เพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน โดยรับประมาณครั้งละ 10-25 มิลลิกรัม อย่างน้อย 3 ครั้ง/วัน หากใช้เกินกว่านี้อาจทำให้เส้นประสาทเสียหายชั่วคราวได้
- ไทอามีน (Thiamine) หรือวิตามินบี 1 เพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียนต่อเนื่อง และปวดท้อง โดยรับประทานในปริมาณ 1.5 มิลลิกรัม/วัน
- ยาแก้อาเจียน ในรูปแบบเม็ด ยาเหน็บ หรือทางหลอดเลือดดำ
- ยาลดกรด (Antacids) เพื่อช่วยบรรเทาอาการกรดไหลย้อนที่ทำให้อาการคลื่นไส้อาเจียนแย่ลง
- การให้สารน้ำทดแทนทางหลอดเลือดดำ (IV fluid) ร่วมกับการแก้ไขภาวะเกลือแร่ในเลือดต่ำจากการอาเจียนเป็นปริมาณมาก
- การให้อาหารทางสายยาง (Tube feeding) หากอาเจียนหนักจนไม่สามารถรับประทานอาหารได้ คุณหมออาจให้อาหารทางสายยางผ่านจมูกเพื่อให้ได้รับสารอาหารเพียงพอและป้องกันภาวะขาดสารอาหาร
การรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ
- การพักผ่อนบนเตียง (Bed rest) เป็นการใช้เวลาพักผ่อนบนเตียงเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้กระทบกระเทือนสุขภาพของทารกในครรภ์น้อยที่สุด แต่ก็ควรขยับตัวบ้าง และระวังการกดทับหรือน้ำหนักลดเนื่องจากการอยู่นิ่ง ๆ เป็นเวลานาน
- การกดจุด (Acupressure) การใช้นิ้วโป้งกดบริเวณกลางข้อมือ ระหว่างเส้นเอ็นทั้ง 2 เส้น ห่างจากรอยพับของข้อมือประมาณ 3 นิ้ว ค้างไว้ประมาณ 3 นาที ที่ข้อมือทั้ง 2 ข้าง อาจช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร BMJ Clinical Evidence เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2557 ศึกษาเกี่ยวกับอาการคลื่นไส้และอาเจียนในหญิงตั้งครรภ์ระยะแรก จากการรวบรวมและทบทวนงานวิจัยจำนวน 32 ชิ้น พบว่า การกดจุดอาจมีประสิทธิภาพในการลดอาการคลื่นไส้และอาเจียน ทั้งนี้ ยังต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับประเด็นนี้เพิ่มเติมต่อไป
เมื่อไหร่ควรไปพบคุณหมอ
หากดูแลตัวเองเบื้องต้นแล้วภาวะแพ้ท้องรุนแรงหรือ Hyperemesis gravidarum ยังไม่ทุเลา และมีอาการต่อไปนี้ ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
- มีอาการของภาวะขาดน้ำ เช่น ปัสสาวะสีเข้ม ผิวแห้งกร้าน
- มีอาการของภาวะขาดสารอาหาร เช่น อ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลดลง
- วิงเวียนศีรษะ
- อาเจียนออกมาแล้วมีเลือดปน
- ปวดท้อง
- น้ำหนักลดมากกว่า 5%ของน้ำหนักตัวเดิม