พัฒนาการทารกในครรภ์ สัปดาห์ที่ 28 ทารกในครรภ์มักมีน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม และยาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าวัดได้ประมาณ 38 เซนติเมตร เป็นช่วงสัปดาห์ที่ทารกอาจกลับหัวเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด ในบางรายทารกอาจยังไม่กลับหัว แต่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด เพราะยังมีเวลาเหลืออีกประมาณ 10 สัปดาห์ที่ทารกอาจเปลี่ยนท่าทางเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด
[embed-health-tool-due-date]
พัฒนาการทารกในครรภ์ สัปดาห์ที่ 28
ลูกจะเติบโตอย่างไร
ในช่วงการตั้งครรภ์ ของสัปดาห์ที่ 28 นี้ ทารกในครรภ์มักมีขนาดเท่ากับมะเขือยาวลูกใหญ่ ซึ่งจะหนักประมาณ 1 กิโลกรัม และยาวประมาณ 38 เซนติเมตร โดยวัดตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า ทารกอาจเริ่มกลับหัวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับคลอด หากทารกยังไม่กลับหัว ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะยังมีระยะเวลาอีกประมาณ 10 สัปดาห์ก่อนคลอดที่ทารกสามารถเปลี่ยนท่าทางและกลับตัวได้เอง หากพบว่าทารกไม่กลับหัวเมื่อใกล้คลอด คุณหมออาจแนะนำการผ่าคลอด
นอกจากนี้ รอยหยักสมองของทารกในครรภ์ยังคงพัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญยังมีชั้นไขมันและเส้นผมยังมีการเจริญเติบโตเช่นเดียวกันอีกด้วย
ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและรูปแบบการใช้ชีวิต
ร่างกายจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
คุณหมออาจตรวจเลือดในช่วงแรก ๆ ของการตั้งครรภ์ เพื่อทำการหากรุ๊ปเลือด Rh ซึ่งเป็นสสารชนิดหนึ่งที่พบในเซลล์เม็ดเลือดแดงของคนส่วนใหญ่ หากหญิงตั้งครรภ์มีกรุ๊ปเลือด Rh negative แต่ทารกมีกรุ๊ปเลือด Rh positive ทารกอาจมีแนวโน้มเกิดปัญหาสุขภาพ อย่างเช่น โรคโลหิตจาง คุณหมออาจฉีดวัคซีนที่มีชื่อเรียกว่า Rh immune globulin ให้หญิงตั้งครรภ์เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพเหล่านี้ โดยจะฉีดในช่วงสัปดาห์ที่ 28 และฉีดอีกครั้งหลังคลอดบุตรแล้ว
ควรระมัดระวังอะไรบ้าง
นอกจากหน้าท้องจะมีขนาดใหญ่ขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ เท้าและข้อเท้ามักบวมขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเย็นของวัน อาการบวมนี้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพแต่อาจรบกวนการใช้ชีวิต เช่น ใส่รองเท้าและนาฬิกาข้อมือได้ยากขึ้น แหวนอาจจะคับขึ้นและถอดออกจากนิ้วได้ยาก
อาการบวมนิดหน่อยของเท้า ข้อเท้า และมือ ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งมีสาเหตุมาจากมีของเหลวที่จำเป็นในการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น ซึ่งมีผู้หญิง 75 เปอร์เซ็นต์เกิดอาการบวมในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 26 หรือช่วงไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป โดยที่อาการบวมจะแย่ลงถ้าอากาศร้อน หรือใช้เวลายืนหรือนั่งเป็นเวลานาน ๆ โดยส่วนใหญ่อาการบวมอาจลดลงหากนอนพักสองสามชั่วโมง หรือนอนพักผ่อนในตอนกลางคืน
การพบคุณหมอ
ควรปรึกษาคุณหมออย่างไรบ้าง
ถ้าอาการบวมแย่ลง ควรรีบไปพบคุณหมอทันที อาการบวมมากเกินไปอาจเป็นสัญญาณของภาวะครรภ์เป็นพิษ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น น้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว มีความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ และมีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ
การทดสอบใดที่ควรรู้
คุณหมออาจขอตรวจร่างกายตามปกติ ซึ่งได้แก่
- ชั่งน้ำหนักและวัดความดันโลหิต
- ตรวจปัสสาวะเพื่อหาค่าน้ำตาลและโปรตีน
- วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
- วัดขนาดมดลูกโดยการคลำจากภายนอก
- วัดความสูงของยอดมดลูก
- ตรวจหาเส้นเลือดขอดที่ขา รวมทั้งอาการบวมที่มือและเท้า
- ตรวจหาโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- ตรวจเลือดเพื่อดูว่ามีภาวะโลหิตจางหรือไม่
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ
- สอบถามถึงอาการต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น โดยเฉพาะอาการที่ผิดปกติ
สุขภาพและความปลอดภัย
ควรทำอย่างไรเพื่อให้สุขภาพดีและปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์
กิจกรรมและพฤติกรรมบางอย่างควรหลีกเลี่ยงระหว่างการตั้งครรภ์ ซึ่งได้แก่
- การฉีดโบท็อกซ์
การตั้งครรภ์อาจทำให้มีริ้วรอยและรอยแตกลาย ที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจ จึงอาจอยากฉีดโบท็อกซ์ในช่วงนี้ แต่อาจจะเป็นกังวล ว่าจะเป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์หรือเปล่า ซึ่งในปัจจุบัน ยังไม่มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์ของผู้หญิงตั้งครรภ์ หากฉีดโบท็อกซ์ก่อนที่จะตั้งครรภ์มักไม่ส่งผลต่อทารกในครรภ์ เแต่หากตั้งครรภ์แล้ว ควรรอให้คลอดก่อน แล้วจึงค่อยฉีดโบท็อกซ์ เนื่องจากยังไม่มีรายงานว่าการฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคลอดปลอดภัยต่อทารกในครรภ์หรือไม่
หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูง (แม้จะไม่ได้เป็นแบบส้นแหลมก็ตาม) ในระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินหรือยืนเป็นเวลานาน เพราะปกติแล้วเมื่อตั้งครรภ์ น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นและขนาดท้องที่ใหญ่ขึ้น จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง และด้วยความที่เส้นเอ็นมักจะคลายตัวในระหว่างการตั้งครรภ์ จึงอาจทำให้การเดินมักไม่มั่นคงและกล้ามเนื้อฉีกขาดได้
โดยเฉพาะการสวมใส่รองเท้าส้นสูงมักทำให้เสี่ยงหกล้ม อาจทำให้หญิงตั้งครภ์และทารกในครรภ์บาดเจ็บได้