ในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของการตั้งครรภ์ คุณแม่ตั้งครรภ์อาจรู้สึกถึงการหดรัดและคลายตัวของมดลูกที่ทำให้ปวดท้องหน่วงบริเวณหน้าท้อง อึดอัดไม่สบายตัว หรือที่เรียกว่า อาการเจ็บท้องเตือน หรือเจ็บท้องหลอก คุณแม่ตั้งครรภ์อาจมีอาการเจ็บท้องเตือนชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุครรภ์ที่มากขึ้น โดยอาการมักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวและอาจหายไปหลังจากเปลี่ยนอิริยาบถ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ เป็นต้น ต่างจากการเจ็บท้องจริงที่เป็นสัญญาณของการใกล้คลอด ซึ่งมักปวดหลังบริเวณเอวร้าวลงขาอาการปวดเป็นมากและถี่ขึ้นเรื่อยๆ ร่วมกับมีอาการอื่น ๆ เช่น มีมูกเลือดไหลออกจากช่องคลอด น้ำคร่ำแตก การเรียนรู้เกี่ยวกับความแตกต่างของอาการเจ็บท้องเตือนและอาการเจ็บท้องจริงอาจช่วยให้หญิงตั้งครรภ์สามารถรับมือกับอาการที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม
[embed-health-tool-due-date]
อาการเจ็บท้องเตือน เป็นอย่างไร
อาการเจ็บท้องเตือน หรืออาการเจ็บท้องหลอก (Braxton-Hicks contractions) เป็นอาการปวดท้องเนื่องจากมดลูกหดรัดและคลายตัว โดยทั่วไป หญิงตั้งครรภ์จะรู้สึกถึงอาการเจ็บท้องเตือนได้ประมาณช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของการตั้งครรภ์ หรือตั้งแต่อายุครรภ์ 6 เดือนขึ้นไป ภาวะนี้เป็นภาวะที่พบได้ทั่วไปขณะตั้งครรภ์ เกิดขึ้นเมื่อหน้าท้องและมดลูกขยายตัวตามอายุครรภ์ ร่วมกับมดลูกหดรัดตัวและขยายตัวตามธรรมชาติ อาจทำให้รู้สึกปวดหน่วงหรือปวดเหมือนเป็นตะคริวบริเวณหน้าท้อง อึดอัด ไม่สบายตัว ส่วนใหญ่แล้วมักไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดรุนแรงและไม่ได้เป็นสัญญาณเตือนของภาวะสุขภาพที่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
อาการเจ็บท้องเตือนและอาการเจ็บท้องจริง ต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างระหว่างอาการเจ็บท้องเตือนและอาการเจ็บท้องจริง อาจสังเกตได้ดังนี้
อาการเจ็บท้องเตือน
- ปวดหน่วงหรือปวดคล้ายเป็นตะคริวบริเวณหน้าท้อง
- เป็น ๆ หาย ๆ ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
- ระดับความรุนแรงของอาการจะแตกต่างไปในแต่ละครั้ง อาจเริ่มจากปวดน้อย ๆ แล้วปวดมากขึ้น หรือปวดมากแล้วค่อย ๆ ปวดน้อยลง
- อาการมักหายไปเมื่อเคลื่อนไหวร่างกายหรือเปลี่ยนอิริยาบถ
- ไม่มีอาการอื่น ๆ ที่เป็นสัญญาณการคลอดร่วมด้วย มีเพียงอาการปวดท้องเท่านั้น
อาการเจ็บท้องจริง
- อาจเริ่มจากปวดท้อง อุ้งเชิงกราน และหลังส่วนล่างบริเวณบั้นเอว จากนั้นอาการปวดจะลามไปที่ขา และอาจปวดไปทั่วร่างกาย
- อาการปวดจะนานและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มักเกิดทุก ๆ 5-10 นาที อาการปวดแต่ละครั้งจะนานประมาณ 30-60 วินาที
- อาการไม่ทุเลา แม้จะลองขยับร่างกายหรือปรับเปลี่ยนอิริยาบถแล้ว
- มีอาการอื่น ๆ ที่เป็นสัญญาณการคลอดร่วมด้วย เช่น น้ำคร่ำแตก มีมูกเลือดก่อนคลอด ปากมดลูกบางลงจนขยายตัวและเปิดออก
วิธีบรรเทาอาการเจ็บท้องเตือน
วิธีบรรเทาอาการเจ็บท้องเตือน อาจทำได้ดังนี้
- หากนั่งหรือพักผ่อนอยู่เฉย ๆ เป็นเวลานานแล้วมีอาการเจ็บท้องเตือน ควรปรับเปลี่ยนอิริยาบถ อาจช่วยลดอาการเจ็บท้องได้
- หากเคลื่อนไหวมากเกินไป เช่น โดยสารรถ เดินเยอะ แล้วมีอาการเจ็บท้อง ควรนอนพัก อาจช่วยให้อาการทุเลา
- ดื่มน้ำและของเหลวให้เพียงพอ เช่น ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8-10 แก้ว/วัน เนื่องจากการขาดน้ำไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายอาจทำให้กล้ามเนื้อหดรัดตัว และปวดท้องได้
- ถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่รู้สึกปวด เพราะหากกระเพาะปัสสาวะเต็ม อาจทำให้มดลูกบีบตัวและเป็นตะคริวได้ อีกทั้งการกลั้นปัสสาวะไว้นานเกินไปยังทำให้เสี่ยงติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ด้วย
- ทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลงที่ชอบ อ่านหนังสือ อาบน้ำหรือแช่น้ำในอ่าง นวดผ่อนคลาย
เมื่อไหร่ควรไปพบคุณหมอ
สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์และมีอาการเจ็บท้องเตือนในลักษณะต่อไปนี้อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณของภาวะเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด (Preterm labour) ที่ควรไปพบคุณหมอโดยเร็วที่สุดเพื่อรับการดูแลครรภ์อย่างเหมาะสมและปลอดภัย เพราะในรายที่อายุครรภ์ยังไม่ครบกำหนด ควรได้รับการรักษาบางอย่างเพื่อยับยั้งการคลอดไว้ก่อนในกรณีไม่มีข้อห้าม หรือการให้ยาฆ่าเชื้อเพิ่มเติม
- รู้สึกเจ็บหรือสัมผัสได้ถึงแรงกดบริเวณอุ้งเชิงกรานหรือหลังส่วนล่าง
- เจ็บท้องรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยระยะห่างและระยะเวลาในการเจ็บท้องแต่ละครั้งจะใกล้เคียงกัน
- ปวดท้องร่วมกับมีอาการใกล้คลอด เช่น มีมูกเลือดไหลออกมาจากช่องคลอด น้ำคร่ำแตก
หญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการเจ็บท้องรุนแรงคล้ายกับการเจ็บท้องจริง หากมีภาวะน้ำคร่ำแตกหรือมดลูกหดรัดทุก ๆ 5-10 นาที อาจเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาไปโรงพยาบาลเพื่อเตรียมทำคลอดอย่างปลอดภัย
ทั้งนี้ หากหญิงตั้งครรภ์มีอาการต่อไปนี้ ซึ่งสงสัยว่าเป็นการเจ็บท้องจริงไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุครรภ์ใด ๆ ก็ตาม ควรไปพบคุณหมอทันทีเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุและวางแผนการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ
- มีอาการปวดท้องต่อเนื่อง เจ็บมากขึ้นหรือถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
- มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด
- มีน้ำใส ๆ ไหลออกจากช่องคลอดแบบไม่สามารถกลั้นให้หยุดไหลได้
- ลูกดิ้นน้อยลงกว่าที่เคยหรือไม่ดิ้นอีกเลย