backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

เกล็ดเลือดสูง สาเหตุ อาการและการรักษา

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย Duangkamon Junnet


เขียนโดย ทีม Hello คุณหมอ · แก้ไขล่าสุด 13/06/2023

เกล็ดเลือดสูง สาเหตุ อาการและการรักษา

เกล็ดเลือดสูง เป็นภาวะที่เกิดจากไขกระดูกสร้างเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้นชั่วคราวเพื่อช่วยให้เลือดแข็งตัว หรืออาจเกิดจากไขกระดูกทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้มีอาการปวดศีรษะ หน้ามืด เป็นลม หรืออาจทำให้มีเลือดออกตามเหงือก หรือเลือดกำเดาไหลได้ ระดับเกล็ดเลือดสูงอาจเป็นสัญญาณของภาวะที่รุนแรง ดังนั้น จึงควรรับการตรวจเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด และเข้ารับการรักษาให้เหมาะสม

คำจำกัดความ

เกล็ดเลือดสูง คืออะไร

เกล็ดเลือดสูง คือ ภาวะที่ไขกระดูกสร้างเกล็ดเลือด เพิ่มขึ้นมากเกินไป ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ เรียกว่า โรคเกล็ดเลือดสูง (Essential thrombocythemia : ET) แต่ถ้าเกล็ดเลือดสูงที่เกิดขึ้นจากโรคหรือภาวะอื่น เช่น การติดเชื้อ จะเรียกว่า ภาวะเกล็ดเลือดสูง (Thrombocytosis)

เกล็ดเลือดสูง พบบ่อยแค่ไหน

โรคเกล็ดเลือดสูงพบได้ในทุกเพศทุกวัย ซึ่งส่วนใหญ่พบในผู้หญิงที่มีอายุ 50-70 ปี แต่ภาวะเกล็ดเลือดสูงอาจพบได้บ่อยกว่าโรคเกล็ดเลือดสูง เนื่องจากคนส่วนใหญ่ที่มีเกล็ดเลือดมากกว่า 500,000 เกล็ด/ไมโครลิตร จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มภาวะเกล็ดเลือดสูง

อาการ

อาการเกล็ดเลือดสูง

ผู้ที่เป็นโรคเกล็ดเลือดสูง หรือภาวะเกล็ดเลือดสูง อาจไม่แสดงอาการให้เห็นอย่างชัดเจน แต่มักจะเริ่มด้วยการเกิดลิ่มเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของลิ่มเลือด ดังนี้

  • ปวดศีรษะ
  • วิงเวียนศีรษะ หรือหน้ามืด เป็นลม
  • เจ็บหน้าอก
  • เหนื่อยล้า อ่อนแรง
  • มีอาการชาบริเวณมือและข้อเท้า
  • ตัวสั่น ผิวแดง ปวดแสบปวดร้อนที่มือและเท้า
  • สำหรับผู้ป่วยโรคเกล็ดเลือดสูง หากมีจำนวนเกล็ดเลือดมากกว่า 1,000,000 เกล็ด/ไมโครลิตร อาจทำให้มีเลือดออกในรูปแบบ ผิวฟกช้ำ เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามเหงือก หรืออุจจาระเป็นเลือด

    สาเหตุ

    สาเหตุของเกล็ดเลือดสูง

    ภาวะเกล็ดเลือดสูง อาจเกิดจากการติดเชื้อ การขาดธาตุเหล็ก หรือหลอดเลือดถูกทำลาย ทำให้ร่างกายเกิดบาดแผล ไขกระดูกที่มีหน้าที่สร้างเกล็ดเลือด จึงต้องสร้างเกล็ดเลือดขึ้นมาเพื่อช่วยให้เลือดจับตัวกันเป็นก้อนและแข็งตัวเพื่อห้ามเลือด ซึ่งในบางครั้งไขกระดูกอาจสร้างเกล็ดเลือดมากเกินไปจนทำให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดสูง

    โรคเกล็ดเลือดสูง เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากไขกระดูกผิดปกติ ทำให้สร้างเกล็ดเลือดมากเกินไป ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดแต่ประมาณ 90% ของผู้ที่เป็นโรคนี้อาจมียีนที่กลายพันธุ์ทำให้เกิดโรคเกล็ดเลือดสูง

    ปัจจัยเสี่ยง

    ปัจจัยเสี่ยงเกล็ดเลือดสูง

    ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคเกล็ดเลือดสูง และภาวะเกล็ดเลือดสูง มีดังนี้

    • ส่วนใหญ่พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
    • ส่วนใหญ่พบในผู้ใหญ่ที่มาอายุ 50-70 ปี
    • ผู้ป่วยที่ผ่านการผ่าตัดม้ามออกจากร่างกาย อาจเกิดภาวะเกล็ดเลือดสูงได้
    • ผู้ที่ฟื้นตัวจากการสูญเสียเลือดจำนวนมาก
    • ผู้ที่ขาดวิตามินบี 12 หรือโฟเลต (Folate)
    • โรคอักเสบหรือโรคติดเชื้อ เช่น วัณโรค ลำไส้อักเสบ
    • โรคโลหิตจาง
    • ปฏิกิริยาจากการใช้ยาบางชนิด

    การวินิจฉัยและการรักษา

    ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

    การวินิจฉัยเกล็ดเลือดสูง

    การวินิจฉัยภาวะเกล็ดเลือดสูง และโรคเกล็ดเลือดสูง สามารถทำได้ ดังนี้

    • สอบถามประวัติสุขภาพ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเกล็ดเลือดสูง เช่น สอบถามนิสัยการกิน รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถามประวัติครอบครัวว่ามีใครเกล็ดเลือดสูงหรือไม่ การติดเชื้อและการรับวัคซีน การถ่ายเลือดหรือบริจาคเลือด
    • ตรวจร่างกาย เพื่อหาสัญญาณของลิ่มเลือด อาการเลือดออก การติดเชื้อ และอาการเกล็ดเลือดสูง
    • ทำการทดสอบเพื่อช่วยในการวินิจฉัย
  • การนับเม็ดเลือด เพื่อวัดจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด โดยการเจาะเลือดที่แขนเพื่อนำเลือดมาตรวจสอบ
  • ฟิล์มเลือด (Blood Smear) คือการหยดเลือดบนสไลด์แก้ว จากนั้นใช้กล้องจุลทรรศน์เพื่อตรวจสอบเกล็ดเลือด
  • เจาะไขกระดูก เพื่อตรวจสอบความแข็งแรงของไขกระดูก รวมถึงการสร้างเซลล์เม็ดเลือดและเกล็ดเลือด โดยการนำตัวอย่างของเหลวในไขกระดูกออกมา จากนั้นส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อตรวจสอบเซลล์ที่ผิดปกติ
  • การรักษาเกล็ดเลือดสูง

    ภาวะเกล็ดเลือดสูง

    ภาวะเกล็ดเลือดสูงเป็นอาการที่เกิดขึ้นชั่วคราว จึงอาจไม่ต้องทำการรักษาเพื่อลดจำนวนเกล็ดเลือด นอกจากนี้ ภาวะเกล็ดเลือดสูงยังที่โอกาสน้อยที่จะทำให้เกิดปัญหาร้ายแรง เช่น ลิ่มเลือดอาการเลือดออก

    โรคเกล็ดเลือดสูง

    การรักษาโรคเกล็ดเลือดสูงอาจไม่จำเป็นหากอาการยังคงที่ แต่คุณหมออาจสั่งยาแอสไพรินเพื่อช่วยลดจำนวนเกล็ดเลือด นอกจากนี้ คุณหมออาจสั่งยาชนิดอื่นเพื่อช่วยในการรักษาภาวะลิ่มเลือดอุดตันเบื้องต้น ดังนี้

    • ยาลดเกล็ดเลือด

    คุณหมออาจสั่งยาชนิดนี้หากผู้ป่วยมีอายุมากกว่า 60 ปี มีประวัติลิ่มเลือดหรือมีเลือดออก มีปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ เช่น คอเลสเตอรอลในเลือดสูง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และมีเกล็ดเลือดเกิน 1,000,000 เกล็ด/ไมโครลิตร และยาที่เกี่ยวข้อง เช่น ไฮดรอกซียูเรีย (Hydroxyurea) อนาเกรไลด์ (Anagrelide) อินเตอร์เฟอรอน (Interferon)

    • การลดจำนวนเกล็ดเลือด (Plateletpheresis)

    เป็นขั้นตอนลดจำนวนเกล็ดเลือดที่ใช้สำหรับกรณีฉุกเฉินเท่านั้น โดยคุณหมอจะใช้เข็มเจาะเข้าเส้นเลือดดำเพื่อดึงเลือดออกมาและเอาเกล็ดเลือดออก จากนั้นเลือดที่เหลือจะถูกส่งกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง

    การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง

    การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อช่วยจัดการเกล็ดเลือดสูง

    การดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดสูง และโรคเกล็ดเลือดสูง ดังนี้

    • เข้าพบคุณหมอเพื่อรับการรักษาตามนัดหมายอย่างต่อเนื่อง
    • งดสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงเกิดลิ่มเลือด
    • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงหรือการรับประทานอาการที่ทำให้ คอเลสเตอรอลสูง โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง
    • สังเกตอาการของลิ่มเลือดอุดตันและอาการเลือดออก หากมีอาการควรรีบพบคุณหมอทันที
    • หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงมีเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้
    • ควบคุมการใช้ยาอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของคุณหมอ

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    Duangkamon Junnet


    เขียนโดย ทีม Hello คุณหมอ · แก้ไขล่าสุด 13/06/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา