backup og meta

วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด มีอะไรบ้าง และการกระตุ้นให้ลูกพูดสำคัญอย่างไร

วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด มีอะไรบ้าง และการกระตุ้นให้ลูกพูดสำคัญอย่างไร

ลูกเริ่มเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางภาษากับการพูดตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งจะเริ่มเรียนรู้และเลียนแบบจากคุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้าง โดย วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด อาจทำได้หลายวิธี แต่ควรเป็นวิธีที่เหมาะสมในแต่ละช่วงอายุด้วย

[embed-health-tool-due-date]

ความสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการพูดของลูก

ทารกเริ่มเรียนรู้ทักษะด้านการฟังและการพูดตั้งแต่แรกเกิด โดยจะเริ่มเรียนรู้จากการฟังเสียงคุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้าง ทำความเข้าใจกับภาษา จากนั้นจะเริ่มสื่อสารด้วยการเปล่งเสียงแต่ไม่ใช้คำพูด ซึ่งการฝึกทักษะด้านภาษาและกระตุ้นให้ลูกพูดจึงมีความสำคัญอย่างมากในการดำเนินชีวิตของลูกในอนาคต ดังนี้

  • ช่วยให้ลูกสามารถเข้าเรียนและทำกิจกรรมในโรงเรียนได้เป็นอย่างดี เพราะเด็กที่มีทักษะการพูดและการใช้ภาษาที่ดีจะสามารถทำความเข้าใจกับความรู้ในห้องเรียนได้ดี และยังสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
  • ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเด็ก เพราะเมื่อลูกพูดได้คล่องจะช่วยให้ลูกสามารถสื่อสารกับเพื่อนหรือคนรอบข้างได้อย่างมั่นใจ
  • ช่วยให้เด็กสามารถสื่อสารความต้องการได้ดี เมื่อลูกมีความต้องการ หรือต้องการปฏิเสธบางอย่าง การพูดเป็นสิ่งที่จะสามารถสื่อสารได้ตรงประเด็นมากที่สุด
  • ช่วยให้เด็กผูกมิตรกับคนรอบข้างได้ การพูดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการผูกมิตรกับเพื่อนและคนรอบข้าง
  • ช่วยให้เด็กเข้าใจโลกรอบตัว เพราะเมื่อลูกมีความเข้าใจในทักษะทางภาษาและการพูดมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยให้ลูกพัฒนาความรู้รอบตัวได้มากเท่านั้น

วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด

วิธีกระตุ้นให้ลูกพูดอาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

  1. การเป็นตัวอย่างที่ดี

ลูกสามารถเรียนรู้ทักษะทางภาษาและการพูดได้ดีที่สุดจากการสังเกตและเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้างจึงควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการพูด เช่น

  • พูดเป็นคำหรือประโยคอย่างช้า ๆ ชัดเจน และใจเย็น
  • ใช้ภาษาที่เหมาะสมกับวัยของลูก
  • พูดพร้อมกับสบตาลูกทุกครั้ง
  • พูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จะช่วยย้ำเตือนให้ลูกจำได้เร็วขึ้น
  • พูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ หากลูกพูดผิดก็พูดแก้ไขคำเดิมเรื่อย ๆ จากนั้นให้ขยายไปเป็นคำอื่น ๆ มากขึ้น
  • พูดอธิบายและแสดงความคิดเห็นในที่สิ่งที่ตัวเองหรือลูกกำลังทำ
  • ตั้งใจฟังเมื่อลูกพูด และอดทนเมื่อลูกพูดช้าหรือพูดผิด
  • ติดป้ายกำกับสิ่งต่าง ๆ และแสดงการกระทำให้ลูกเห็น เช่น ติดป้ายรูปแมวที่ตะกร้าของเล่น แสดงการกระทำให้ลูกเห็นว่าควรหยิบของเล่นที่เล่นแล้วใส่ตะกร้ารูปแมว
  1. การใช้กิจกรรมกระตุ้นให้ลูกพูดตามช่วงอายุ

ทารกแรกเกิดถึง 3 เดือน

ช่วงอายุนี้เป็นวัยที่ลูกจะฟังเสียงคุณพ่อคุณแม่และคนรอบข้าง รวมถึงมีการเลียนแบบการออกเสียงที่ได้ยิน จึงอาจกระตุ้นการพูดได้ ดังนี้

  • ร้องเพลงให้ลูกฟัง เพื่อให้ลูกได้ฟังเสียงดนตรีและเรียนรู้ภาษาจากเนื้อเพลง
  • พูดคุยกับลูกทุกวัน และสามารถอุ้มลูกไว้เมื่อพูดคุยกับผู้อื่น ระหว่างนี้ลูกจะฟังเสียง เรียนรู้พฤติกรรมและภาษาที่ได้ยิน
  • ลองปิดโทรทัศน์ วิทยุหรือโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้บ้านเงียบสงบ เพราะช่วงเวลาที่เงียบสงบลูกอาจต้องการพูดพล่ามด้วยการเปล่งเสียงของตัวเองออกมา

ลูกอายุ 3-6 เดือน

เป็นช่วงอายุที่ลูกกำลังเรียนรู้ว่าผู้คนพูดคุยกันอย่างไร และแสดงพฤติกรรมโต้ตอบการพูด จึงอาจกระตุ้นการพูด เช่น

  • อุ้มลูกไว้ใกล้ ๆ ตัว เพื่อให้ลูกเรียนรู้การพูดและการสื่อสาร ในระหว่างนี้ลูกจะจ้องมองและเรียนรู้ทักษะทางภาษาของผู้คนมากขึ้น
  • พูดคุยเล่นกับลูกพร้อมกับยิ้มแย้มไปด้วย
  • พูดเลียนแบบสียงของลูก หรือพูดซ้ำเมื่อลูกตอบสนองต่อเสียงหรือคำใดที่พูด เพื่อเป็นการสอนให้ลูกจดจำคำและการสนทนา

ลูกอายุ 6-9 เดือน

ช่วงอายุนี้ลูกจะเล่นกับเสียงในบางคำพูด เช่น ดาดา บาบา และลูกจะแสดงอาการมีความสุข ร้องไห้หรือโกรธเมื่อได้ยินเสียงที่กระตุ้นให้เกิดอารมณ์นั้น จึงอาจกระตุ้นการพูด เช่น

  • เล่นเกมจ๊ะเอ๋กับลูกเพื่อช่วยให้ลูกขยับมือ เรียนรู้การสัมผัส และฟังเสียงในระหว่างเล่นเกม
  • ให้ของเล่นกับลูกพร้อมพูดคุยเกี่ยวกับของเล่น เช่น คืนนี้พี่หมีจะนอนกอดหนูนะคะลูก
  • อุ้มลูกไปที่หน้ากระจกให้ลูกเห็นตัวเองในกระจก จากนั้นให้พูดถามลูกว่านั่นใคร แต่ถ้าลูกไม่ตอบสนองให้พูดชื่อของลูกเพื่อให้ลูกรู้ตัวว่าเป็นตัวเอง
  • ถามคำถามกับลูกบ่อย ๆ เช่น พี่หมีอยู่ที่ไหน ถ้าลูกไม่ตอบให้พาลูกไปตามหาพี่หมี

ลูกอายุ 9-12 เดือน

ลูกจะเริ่มเข้าใจคำศัพท์สั้น ๆ ง่าย ๆ ได้มากขึ้น เช่น ได้ ไม่ หยุด และจะเข้าใจคำถามสั้น ๆ เช่น แม่อยู่ไหน พ่อทำอะไร ลูกจะตอบสนองสิ่งที่ถามด้วยการชี้ให้เห็น ทำเสียง หรือใช้ร่างกายเพื่อสื่อสารเป็นคำตอบ

นอกจากนี้ ลูกอาจแสดงความต้องการบางสิ่งบางอย่างด้วยการเปล่งเสียง โบกมือ หรือจ้องมอง เพื่อแสดงความต้องการสิ่งนั้นด้วย

ลูกอายุ 12-18 เดือน

ลูกจะเริ่มใช้คำพูดและใช้เสียงเพื่อระบุสิ่งของ ซึ่งการเปล่งเสียงหรือพูดเป็นคำขึ้นอยู่กับการเรียนรู้คำ เช่น บาบา อาจหมายถึง พี่หมี, ดาม อาจหมายถึง น้ำ

นอกจากนี้ ลูกจะสามารถมอบสิ่งของให้เมื่อร้องขอ และจะแสดงความต้องการสิ่งของนั้นด้วยการชี้ เอื้อมมือไปที่สิ่งนั้น มองดูหรือพูดพล่ามเพื่อให้คนรอบข้างหยิบสิ่งของให้ จึงอาจกระตุ้นการพูดของลูกได้ ดังนี้

  • พูดคุยกับลูกเกี่ยวกับสิ่งของที่กำลังใช้ เช่น ถ้วย ชาม ช้อน ตุ๊กตา โดยอาจให้ลูกช่วยตั้งชื่อสิ่งของนั้น
  • ชวนลูกอ่านหนังสือและถามคำถามเกี่ยวกับภาพในหนังสือ และให้ลูกตั้งชื่อตัวละครในหนังสือด้วย
  • ยิ้มหรือปรบมือเมื่อลูกพูดถึงสิ่งที่เห็น และขยายความมากขึ้น เช่น ดูสิลูกหมากำลังกระดิกหางด้วย
  • พูดคุยในสิ่งที่ลูกต้องการพูด และฟังสิ่งที่ลูกพูดอย่างตั้งใจ
  • ถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งในชีวิตประจำวัน เช่น วันนี้ใส่เสื้อตัวไหนดี จะกินนมหรือกินน้ำผลไม้
  • เล่นและสนทนาเป็นบทบาทสมมติกับตุ๊กตา เช่น พี่หมีอยากเล่นบอลกับหนูด้วยได้ไหม

ลูกอายุ 18-24 เดือน

ลูกจะสามารถทำตามคำสั่งและเริ่มรวมคำได้ เช่น รถไป กินน้ำ จะนอน กินนม จึงอาจกระตุ้นการพูดของลูก เช่น

  • พูดขอให้ลูกช่วยสิ่งง่าย ๆ เช่น พูดขอให้ลูกวางถ้วยบนโต๊ะ พูดขอให้ลูกหยิบรองเท้ามาให้
  • สอนร้องเพลงง่าย ๆ ร้องเพลงกล่อมเด็ก หรืออ่านหนังสือให้ลูกฟัง และขอให้ลูกชี้ว่าตอนนี้กำลังเห็นอะไร
  • กระตุ้นให้ลูกพูดคุยกับเพื่อนและครอบครัว
  • ให้ลูกมีส่วนร่วมกับการเล่นบทบาทสมมติ เช่น ให้ลูกคุยโทรศัพท์ ให้อาหารตุ๊กตา จัดปาร์ตี้กับของเล่น

ลูกอายุ 2-3 ปี

ทักษะทางภาษาของลูกจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยลูกจะสร้างประโยคง่าย ๆ ได้เอง เช่น ลาก่อน แม่ไปแล้ว แม่นอนแล้ว และจะสามารถเริ่มตอบคำถามที่ซับซ้อนมากขึ้นได้ เช่น เวลาหิวจะทำอะไร นอกจากนี้ ลูกจะเล่นแสดงบทบาทสมมติมากขึ้น เช่น ทำอาหาร ไปทำงาน แข่งรถ จึงอาจกระตุ้นการพูดของลูกได้ ดังนี้

  • สอนลูกให้พูดชื่อหรือนามสกุลของตัวเอง
  • พูดถามเกี่ยวกับจำนวน ขนาด และรูปร่างของสิ่งที่ลูกนำมาให้ดู
  • ถามคำถามปลายเปิดที่ไม่มีคำตอบ “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” จะช่วยให้ลูกพัฒนาความคิดของตัวเองและเรียนรู้ที่จะแสดงออก
  • ขอให้ลูกเล่าเรื่องที่มีในหนังสือเล่มโปรด
  • แกล้งทำเป็นเล่นบทบาทสมมติกับลูก เพื่อช่วยในการเรียนรู้ภาษา
  • ลองปิดโทรทัศน์และวิทยุ หรือเสียงรบกวนอื่น ๆ เพื่อให้ลูกได้ลองพูดคุยกับคนในบ้านโดยไม่มีอะไรรบกวน

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

Activities to Encourage Speech and Language Development. https://www.asha.org/public/speech/development/activities-to-encourage-speech-and-language-development/. Accessed March 28, 2023

Tips on Learning to Talk. https://www.zerotothree.org/resource/tips-on-learning-to-talk/. Accessed March 28, 2023

Help your baby learn to talk. https://www.nhs.uk/conditions/baby/babys-development/play-and-learning/help-your-baby-learn-to-talk/. Accessed March 28, 2023

Talking and play: toddlers. https://raisingchildren.net.au/toddlers/play-learning/play-toddler-development/talking-play-toddlers#:~:text=Recite%20nursery%20rhymes%20and%20sing,it’s%20a%20big%20red%20train. Accessed March 28, 2023

Activities to Encourage Speech and Language Development. https://www.readingrockets.org/article/activities-encourage-speech-and-language-development. Accessed March 28, 2023

เวอร์ชันปัจจุบัน

08/05/2023

เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงสุสิตา หวังจิรนิรันดร์

อัปเดตโดย: Duangkamon Junnet


บทความที่เกี่ยวข้อง

ลูกพูดช้า ปัญหาพัฒนาการเด็กที่ไม่ควรมองข้าม

วัยทารก กับเรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้


ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

แพทย์หญิงสุสิตา หวังจิรนิรันดร์

พ่อแม่เลี้ยงลูก · โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร


เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 08/05/2023

ad iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา