ลูกตัวร้อน เป็นภาวะที่อุณหภูมิร่างกายเด็กสูงเกินกว่า 38 องศาเซลเซียส เกิดจากร่างกายปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัส ภาวะนี้อาจนำไปสู่การล้มป่วยได้ เพื่อความปลอดภัย คุณพ่อคุณแม่ควรลดอุณหภูมิร่างกายให้ลูกเบื้องต้น และสังเกตอาการผิดปกติอย่างใกล้ชิด
สาเหตุที่ทำให้ ลูกตัวร้อน
สาเหตุที่ทำให้ลูกตัวร้อน หรือมีไข้ อาจมาจากภาวะของโรค ดังต่อไปนี้
- ไข้หวัดใหญ่
เด็กที่อยู่ในช่วงอายุ 2-5 ปี อาจเสี่ยงเป็นไข้หวัดใหญ่จากการติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจ และก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคปอดบวม โรคหอบหืด โดยอาการเบื้องต้นของไข้หวัดใหญ่สามารถสังเกตได้จากลูกตัวร้อน มีน้ำมูก คัดจมูก ไอ เจ็บคอ
- หูชั้นกลางอักเสบ
หูชั้นกลางอักเสบเกิดจากการติดเชื้อที่หูชั้นกลาง ทำให้เยื่อแก้วหูอักเสบ ส่งผลให้เด็กมีไข้ขึ้นสูง มีปัญหาเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร และการนอนหลับ หากเป็นเด็กโตอาจบอกได้เมื่อรู้สึกเจ็บปวดภายในหู แต่สำหรับเด็กเล็ก หรือทารกอาจสังเกตได้จากพฤติกรรมการดึงหู หรือร้องไห้มากกว่าปกติ
- ไข้ผื่นกุหลาบ
ไข้ผื่นกุหลาบ หรือ ส่าไข้ เป็นภาวะที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส พบได้มากในเด็กอายุระหว่าง 6 เดือน ถึง 2 ขวบ ส่งผลให้เด็กมีไข้สูงเป็นเวลาหลายวัน และมีผื่นขึ้นตามผิวหนัง นอกจากนี้ ยังอาจแพร่เชื้อติดต่อกันได้ผ่านการไอจาม
- ต่อมทอนซิลอักเสบ
หน้าที่ของต่อมทอนซิลคือช่วยต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายผ่านทางปาก และจมูก ก่อนที่เชื้อโรคจะนำไปสู่การติดเชื้อในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย แต่ในขณะเดียวกัน เชื้อไวรัส และแบคทีเรียก็อาจเข้าไปในต่อมทอนซิลจนส่งผลให้ต่อมทอนซิลอักเสบ จนเด็กอาจมีไข้ ปวดศีรษะ และต่อมทอนซิลบวมแดงได้
- การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
เมื่อแบคทีเรียเข้าไปในช่องทางเดินปัสสาวะ อาจทำให้ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ส่งผลให้เด็กอาจมีไข้ขึ้น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และแสบร้อนขณะปัสสาวะ
- โรคอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใส เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella-zoster) ซึ่งเกิดขึ้นได้บ่อยในเด็ก โดยอาการของโรคอีสุกอีใสส่วนใหญ่มักปรากฏขึ้นภายใน 10-21 วันหลังได้รับเชื้อ อาการทั่วไป เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ เหนื่อยล้า ความอยากอาหารลดลง มีตุ่มพองขึ้นบนผิวหนัง
- โรคไอกรน
โรคไอกรน เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการรุนแรงกับคนทุกช่วงวัยได้ภายใน 5- 10 วันหลังติดเชื้อ และทำให้มีไข้ต่ำ น้ำมูกไหล และไอ ได้นาน 1-2 สัปดาห์ หลังจาก 2 สัปดาห์อาจทำให้ผู้ป่วยบางคนมีอาการอาเจียน อ่อนเพลีย และไอรุนแรงได้
นอกจากภาวะของโรคข้างต้นแล้ว ผลข้างเคียงจากการรับประทานยาบางชนิด และการฉีดวัคซีน ก็อาจเป็นสาเหตุให้ลูกตัวร้อน หรือมีไข้ได้เช่นเดียวกัน
ลูกตัวร้อน ควรทำอย่างไร
เมื่อลูกตัวร้อน คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลลูกเบื้องต้น เพื่อลดอุณหภูมิในร่างกาย ด้วยวิธีดังนี้
- ให้ลูกดื่มน้ำในปริมาณมากต่อวัน เพื่อป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ
- ควรให้ลูกสวมใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ ไม่อึดอัด หรือรัดแน่น
- เช็ดตัวด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย
- อาบน้ำให้ลูกด้วยน้ำอุ่น เพราะการอาบน้ำเย็นอาจทำให้เกิดอาการหนาวสั่น ส่งผลให้เด็กมีอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นได้
- ควรให้ลูกนอนพักผ่อนให้เพียงพอ
- ให้ลูกรับประทานยาลดไข้ตามคำแนะนำของคุณหมอ เช่น อะเซตามิโนเฟน ไอบูโพรเฟนสำหรับเด็กที่อยู่ในช่วงอายุน้อยกว่า 2 เดือน ถึง 2 ปี คุณพ่อคุณแม่ควรเข้าขอรับคำปรึกษาจากคุณหมอ ไม่ควรให้ลูกรับประทานยาเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากคุณหมอ
อาการที่ควรพาลูกเข้าพบคุณหมอ
อาการที่ควรพาลูกเข้าพบคุณหมอ
อาการเจ็บป่วยในเด็กอาจแตกต่างกันไปตามสาเหตุของโรค และชนิดของเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียที่ได้รับ อาการส่วนใหญ่อาจหายได้เอง แต่หากลูกมีอาการดังต่อไปนี้ ควรพาพบไปพบคุณหมอทันที
- อุณหภูมิสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
- ปวดศีรษะ
- หายใจลำบาก
- ปวดหู
- เจ็บคอ
- อาเจียนบ่อย
- ผื่นขึ้นบนผิวหนัง
- ริมฝีปาก ลิ้น เล็บ เปลี่ยนเป็นสีฟ้า
- ปวดท้อง
- ท้องร่วงเป็นเวลาหลายวัน
- ปัสสาวะน้อย
- มีอาการชัก
[embed-health-tool-vaccination-tool]