ปัญหาการได้ยินในทารกคลอดก่อนกำหนด เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ในทารกคลอดก่อนกำหนดบางคน ซึ่งอาจส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในหลายด้านเมื่อเติบโตขึ้น เพื่อให้คุณสามารถรับมือและเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการได้ยินในทารกมากขึ้น ลองอ่านบทความนี้ไปพร้อม ๆ กันค่ะ
การคลอดก่อนกำหนดเป็นการคลอดที่เกิดขึ้นก่อนกำหนดจริงประมาณ 3 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น อีกนัยหนึ่งการคลอดก่อนกำหนดคือการคลอดก่อน 37 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ซึ่งทารกที่คลอดก่อนกำหนดอาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมามากมาย ยิ่งทารกคลอดก่อนกำหนดเร็วเท่าไรยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนมากขึ้นเท่านั้นด้วย ซึ่งอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางร่างกายและพัฒนาการทางการเรียนรู้ของเด็กในระยะยาว
[embed-health-tool-vaccination-tool]
ปัญหาการได้ยินในทารกคลอดก่อนกำหนด คืออะไร
ปัญหาการได้ยิน เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่มักเกิดขึ้นในทารกที่คลอดก่อนกำหนด ซึ่งการสูญเสียการได้ยินอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม การติดเชื้อ หรือภาวะแทรกซ้อนระหว่างคลอด ส่วนในทารกที่คลอดก่อนกำหนดแน่นอนว่าอวัยวะอาจยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์จากในครรภ์จึงอาจส่งผลทำให้ทารกสูญเสียการได้ยินได้ ในบางกรณีเด็กที่คลอดก่อนกำหนดอาจสูญเสียการได้ยินในภายหลัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวของกับการคลอดก่อนกำหนดด้วย
เด็กที่สูญเสียการได้ยินและไม่ได้รับการรักษาหรือทำการรักษาล่าช้า อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางภาษา การพูด และการสื่อสารกับผู้อื่นเมื่ออายุมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดปัญหาต่อการเข้าสังคมในอนาคตได้
ตรวจการได้ยินในทารก
ทารกทุกคนจะได้รับการตรวจคัดกรองปัญหาการได้ยิน โดยเฉพาะทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะได้รับการทดสอบการได้ยินหลังจากอายุได้ 34 สัปดาห์ หรือจนกว่าแพทย์จะวินิจฉัยว่าทารกสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว โดยจะใช้เครื่องมือเซ็นเซอร์พิเศษวางบนศีรษะของทารก และดูการตอบสนองจากเส้นประสาทการได้ยินของทารก หรือเรียกว่า การตอบสมองของก้านสมองอัตโนมัติ (Automated Auditory Brainstem Response : AABR)
เพื่อตรวจสอบการได้ยินของทารกคุณอาจสังเกตพฤติกรรมเหล่านี้ที่อาจเกิดขึ้นได้
ช่วง 4-10 สัปดาห์
ทารกอาจแสดงพฤติกรรมเหล่านี้ เมื่อมีเสียงดังกะทันหัน
- กระตุกหรือกระพริบตา
- เสียงจะรบกวนการนอนหลับของทารก
- หยุดกินนมเมื่อได้ยินเสียง
- มองไปตามเสียง
- ร้องไห้
ช่วง 3-4 เดือน
ทารกอาจแสดงพฤติกรรมเหล่านี้ เมื่อมีเสียงดังกะทันหัน
- กระพริบตาหรือร้องไห้
- หยุดร้องไห้เมื่อได้ยินเสียง
- เสียงรบกวนการนอน
- ยิ้มเวลาพูด
- อาจแสดงอาการชอบเสียงดนตรี
- หยุดเคลื่อนไหวเมื่อได้ยินเสียง
ช่วง 5-7 เดือน
ทารกอาจแสดงพฤติกรรมเหล่านี้ เมื่อมีเสียงดังกะทันหัน
- หันไปทางเสียงคนพูด
- ร้องไห้
- แสดงอาการชื่นชอบเพลง
- พูดพล่าม หรือเลียนแบบการพูด
ช่วง 9-12 เดือน
ทารกอาจแสดงพฤติกรรมเหล่านี้ เมื่อมีเสียงดังกะทันหัน
- ตอบสนองเมื่อมีคนเรียกชื่อ
- เข้าใจคำบางคำ
- ฟังเมื่อมีคนพูด
- ชอบเลียนแบบเสียง พูดพล่าม
- พยายามพูดคุย
เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างพฤติกรรมที่ทารกอาจตอบสนองต่อเสียง เพื่อเป็นการทดสอบการได้ยินในทารก หากลูกน้อยสูญเสียการได้ยิน การตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ จะส่งผลดีต่อภาษา การเรียนรู้ และพัฒนาการทางสังคมในอานคตของเด็ก
การรักษาปัญหาการได้ยินในทารกคลอดก่อนกำหนด
เมื่อได้รับการตรวจคัดกรองแล้วพบว่าทารกมีปัญหาทางการได้ยิน แพทย์อาจเสนอแนวทางรักษาด้วยการใช้เครื่องช่วยฟังเด็ก ใช้ประสาทหูเทียมหรือเครื่องช่วยฟังชนิดฝังในกระดูก
- ประสาทหูเทียม เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยกระตุ้นประสาทหูโดยตรง เพื่อทดแทนการทำงานของหูชั้นในที่เสียหาย แต่ไม่ได้เป็นการรักษาการสูญเสียการได้ยิน แต่เป็นตัวช่วยให้ผู้ที่สูญเสียการได้ยินกลับมาได้ยินเสียงผ่านอุปกรณ์
- เครื่องช่วยฟังชนิดฝังในกระดูก เป็นการผ่าตัดโดยฝังอุปกรณ์เข้าไปในกระดูก ซึ่งเป็นการนำการสั่นสะเทือนของเสียงไปยังหูชั้นใน
หากลูกของคุณมี ปัญหาการได้ยินในทารกคลอดก่อนกำหนด ควรรีบพบคุณหมอเพื่อทำการตรวจและทำการรักษาในขั้นต่อไปได้อย่างทันท่วงที