backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

ซูลินแดค (Sulindac)

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย เภสัชกรอาชานนท์ สมศักดิ์ · ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

ซูลินแดค (Sulindac)

ข้อบ่งใช้

ยา ซูลินแดค (Sulindac) ใช้สำหรับ

ยาซูลินแดค (Sulindac) ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด อาการบวม  และอาการข้อต่อแข็งเกร็งจากโรคข้ออักเสบ (arthritis) ยานี้ยังใช้เพื่อรักษาโรคข้ออักเสบจากกระดูกสันหลัง โรคข้ออักเสบแบบเกาต์ (gouty arthritis) และถุงน้ำกันเสียดสีบริเวณไหล่อักเสบ (bursitis) หรือเอ็นอักเสบ (tendonitis) ยานี้เป็นยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (nonsteroidal anti-inflammatory drug)

วิธีใช้ยา ซูลินแดค

รับประทานยานี้ตามที่แพทย์กำหนด ตามปกติคือวันละ 2 ครั้ง รับประทานยาพร้อมกับดื่มน้ำเต็มแก้ว (8 ออนซ์ หรือ 240 มล.) เว้นแต่แพทย์จะสั่งอย่างอื่น

อย่าล้มตัวลงนอนอย่างน้อย 10 นาที หลังจากรับประทานยา รับประทานยานี้พร้อมกับอาหาร หรือรับประทานทันทีหลังมื้ออาหาร หรือรับประทานพร้อมกับยาลดกรด เพื่อช่วยป้องกันอาการท้องไส้ปั่นป่วน

สำหรับสภาวะบางอย่าง เช่น โรคข้ออักเสบ อาจต้องใช้เวลานาน 1-2 สัปดาห์ กว่าจะได้รับประโยชน์สูงสุด เมื่อรับประทานยานี้เป็นประจำ จึงควรรับประทานยาอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์กำหนด

ควรใช้ยานี้ในขนาดยาต่ำที่สุดเท่าที่มีประสิทธิภาพ และใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่าเพิ่มขนาดยาหรือรับประทานยาบ่อยกว่าที่กำหนด

โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถึงความเสี่ยงและประโยชน์ในการใช้ยา นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังแนะนำว่า คุณไม่ควรรับประทานยาเกินวันละ 400 มก. เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดปัญหาเกี่ยวกับตับ

หากคุณกำลังใช้ยานี้เท่าที่จำเป็น (ไม่ได้ใช้เป็นประจำ) โปรดจำไว้ว่า ยาแก้ปวดนั้นจะทำงานได้ดีที่สุด หากใช้ยาเมื่อเริ่มมีสัญญาณของอาการปวด หากคุณรอจนอาการปวดรุนแรง อาจทำให้ยาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร

โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบ หากอาการของคุณไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง

การเก็บรักษายาซูลินแดค

ยา ซูลินแดค ควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง ให้พ้นแสงและความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเสื่อมสภาพ ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาซูลินแดคบางยี่ห้ออาจมีวิธีเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรอ่านคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์หรือสอบถามเภสัชกรเสมอ และโปรดเก็บยาให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยงเพื่อความปลอดภัย

ไม่ควรทิ้งยาซูลินแดคลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ เว้นเสียแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น หากยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยา ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยสามารถสอบถามข้อมูลวิธีกำจัดยาที่ถูกต้องได้จากเภสัชกร

ข้อควรระวังและคำเตือน

ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาซูลินแดค

ก่อนใช้ยาซูลินแดค โปรดแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบ หาก

  • คุณแพ้ต่อซูลินแดค ยาแอสไพริน หรือยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์อื่นๆ เช่น ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) อย่างแอดวิล (Advil) และยานาพรอกเซน (naproxen) อย่างอะลีฟ (Aleve) หรือนาโพรซิน (Naprosyn) และยาซูลินแดคชนิดอื่นๆ หรือยาอื่นๆ โปรดสอบถามเภสัชกรเกี่ยวกับรายชื่อของส่วนผสมที่ไม่ออกฤทธิ์ของยา
  • คุณกำลังใช้ยาอื่นอยู่ หรือมีแผนจะใช้ยาอื่น เช่น ยาคีโตโปรเฟนตามใบสั่งแพทย์หรือหาซื้อเอง วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพร
  • คุณเป็นหรือเคยเป็นโรคใดๆ รวมถึงโรคหอบหืด โดยเฉพาะหากคุณมีอาการคัดจมูก หรือน้ำมูกไหล หรือริดสีดวงจมูก (nasal polyps) อาการบวมที่มือ แขน ขา ข้อเท้า หรือขาส่วนล่าง หรือโรคตับ หรือโรคไต

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้

ยาซูลินแดคจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์ ประเภท C โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)

การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้

  • A = ไม่มีความเสี่ยง
  • B = ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
  • C = อาจจะมีความเสี่ยง
  • D = มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
  • X = ห้ามใช้
  • N = ไม่ทราบแน่ชัด

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงของการใช้ยาซูลินแดค

อาจเกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ อาเจียน มีแก๊ส ท้องร่วง ท้องผูก วิงเวียน หรือปวดศีรษะ หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้น โปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที

โปรดจำไว้ว่า การที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากพิจารณาแล้วว่า ยามีประโยชน์มากกว่าโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ

ยานี้อาจเพิ่มระดับของความดันโลหิตได้ โปรดทำการตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ และแจ้งให้แพทย์ทราบ หากผลการตรวจความดันโลหิตออกมาสูง

แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากเกิดผลข้างเคียงที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นแต่รุนแรง ดังต่อไปนี้

  • การได้ยินเปลี่ยนแปลง เช่น มีเสียงอื้อในหู
  • จิตใจหรืออารมณ์เปลี่ยนแปลง
  • มีปัญหาในการกลืน หรือรู้สึกเจ็บปวดขณะกลืน
  • มีอาการของภาวะหัวใจวาย เช่น มีอาการบวมที่ข้อเท้าหรือเท้า เหนื่อยล้าผิดปกติ น้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็วหรือผิดปกติ

รับการรักษาในทันที หากเกิดผลข้างเคียงที่หายากแต่รุนแรงมาก ดังต่อไปนี้

  • มีสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับไต เช่น ปริมาณของปัสสาวะเปลี่ยนแปลง
  • คอแข็งเกร็งโดยไม่ทราบสาเหตุ

ยานี้อาจทำให้เกิดโรคตับที่รุนแรง ซึ่งอาจถึงแก่ชีวิตได้ในบางกรณี โปรดหยุดใช้ยาซูลินแดค และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทันที หากคุณสังเกตเห็นอาการที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นแต่รุนแรงมาก ดังต่อไปนี้

  • ปัสสาวะสีคล้ำ
  • คลื่นไส้อาเจียนบ่อยครั้ง
  • ปวดท้องรุนแรง
  • ตาเหลือง หรือผิวหนังเหลือง

การแพ้ยาซูลินแดคขั้นรุนแรงค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นเข้ารับการรักษาทันที อาการของการแพ้รุนแรง ได้แก่

  • ผดผื่น คันหรือบวม โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ
  • วิงเวียนขั้นรุนแรง
  • หายใจติดขัด

ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้น อาจไม่ได้เกิดกับทุกคน หรือบางคนอาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากนี้ หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาอื่น

ยาซูลินแดคอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรด้วยว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง สมุนไพร เป็นต้น และเพื่อความปลอดภัย คุณไม่ควรเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์

โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณกำลังใช้ยาต่อไปนี้

  • ยาอะลิสคิเรน (aliskiren)
  • ยาในกลุ่ม ACE inhibitors เช่น แคปโตพริล (captopril) ลิซิโนพริล (lisinopril)
  • ยาในกลุ่มแองจิโอเทนซิน ทู รีเซฟเตอร์บล็อกเกอร์ (angiotensin II receptor blockers) เช่น ลอซาร์แทน (losartan) วาลซาร์แทน (valsartan) ไซโดโฟเวียร์ (cidofovir) ไดเม็ทธิลซัลโฟไซด์ (dimethyl sulfoxide) ลิเทียม (lithium) เมโธเทรกเซท (methotrexate)
  • ยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) เช่น เพรดนิโซน (prednisone)
  • ยาขับน้ำหรือยาขับปัสสาวะ (diuretics) เช่น ฟูโรเซไมด์ (furosemide)

ยานี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการเลือดออกเมื่อใช้ร่วมกับยาอื่นที่สามารถทำให้เกิดอาการเลือดออกได้ง่าย เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด อย่างโคลพิโดเกรล (clopidogrel) ยาเจือจางเลือด อย่างดาบิกาแทรน (dabigatran) อีโนซาพาริน (enoxaparin) วาฟาริน (warfarin)

ควรตรวจสอบฉลากยาตามใบสั่งแพทย์ และยาที่หาซื้อได้เองทั้งหมดให้ละเอียด เนื่องจากยาจำนวนมากนั้น อาจจะมีส่วนประกอบของยาบรรเทาอาการปวด หรือยาลดไข้ เช่น แอสไพริน ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ อย่างเซเลโคซิบ (celecoxib) ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หรือคีโตโรแลค (ketorolac) ยานี้เหล่ามีความคล้ายคลึงกับยาซูลินแดค และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง หากรับประทานยาร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม แพทย์อาจสั่งให้คุณรับประทานยาแอสไพรินขนาดต่ำ เพื่อป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และโรคหลอดเลือดสมอง (มักใช้ยาที่ขนาดยา 81-325 มก. ต่อวัน) คุณควรใช้ยาแอสไพรินนี้ต่อไป เว้นแต่แพทย์จะสั่งอย่างอื่น โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์

ยาซูลินแดคอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น

ยาซูลินแดคอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ

ขนาดยา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยาซูลินแดคสำหรับผู้ใหญ่

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคเกาต์เฉียบพลัน (Acute Gout)

  • ขนาดยาเริ่มต้น : 200 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
  • ขนาดยาสูงสุด : 400 มก. ต่อวัน
  • ระยะเวลาในการรักษาตามปกติมักอยู่ที่ 7 วัน

คำแนะนำ

  • เมื่อได้รับการตอบสนองต่อการรักษาแล้ว ควรปรับขนาดยาและความถี่ในการรับประทานยาลงมาที่ขนาดยาต่ำสุดเท่าที่มีประสิทธิภาพ และใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ให้เหมาะสมตามเป้าหมายในการรักษาของผู้ป่วยแต่ละราย

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด (Ankylosing Spondylitis)

  • ขนาดยาเริ่มต้น : 150 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
  • ขนาดยาสูงสุด : 400 มก. ต่อวัน
  • ระยะเวลาในการรักษาตามปกติมักอยู่ที่ 7 วัน

คำแนะนำ

  • เมื่อได้รับการตอบสนองต่อการรักษาแล้ว ควรปรับขนาดยาและความถี่ในการรับประทานยาลงมาที่ขนาดยาต่ำสุดเท่าที่มีประสิทธิภาพ และใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ให้เหมาะสมตามเป้าหมายในการรักษาของผู้ป่วยแต่ละราย

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาข้อเสื่อม (Osteoarthritis)

  • ขนาดยาเริ่มต้น : 150 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
  • ขนาดยาสูงสุด : 400 มก. ต่อวัน
  • ระยะเวลาในการรักษาตามปกติมักอยู่ที่ 7 วัน

คำแนะนำ

  • เมื่อได้รับการตอบสนองต่อการรักษาแล้ว ควรปรับขนาดยาและความถี่ในการรับประทานยาลงมาที่ขนาดยาต่ำสุดเท่าที่มีประสิทธิภาพ และใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ให้เหมาะสมตามเป้าหมายในการรักษาของผู้ป่วยแต่ละราย

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis)

  • ขนาดยาเริ่มต้น : 150 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
  • ขนาดยาสูงสุด : 400 มก. ต่อวัน
  • ระยะเวลาในการรักษาตามปกติมักอยู่ที่ 7 วัน

คำแนะนำ

  • เมื่อได้รับการตอบสนองต่อการรักษาแล้ว ควรปรับขนาดยาและความถี่ในการรับประทานยาลงมาที่ขนาดยาต่ำสุดเท่าที่มีประสิทธิภาพ และใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ให้เหมาะสมตามเป้าหมายในการรักษาของผู้ป่วยแต่ละราย

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคถุงน้ำกันเสียดสีที่บริเวณไหล่อักเสบ (Bursitis)

  • ขนาดยาเริ่มต้น : 150 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
  • ขนาดยาสูงสุด : 400 มก. ต่อวัน
  • ระยะเวลาในการรักษาตามปกติมักอยู่ที่ 7-14 วัน

คำแนะนำ

  • เมื่อได้รับการตอบสนองต่อการรักษาแล้ว ควรปรับขนาดยาและความถี่ในการรับประทานยาลงมาที่ขนาดยาต่ำสุดเท่าที่มีประสิทธิภาพ และใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ให้เหมาะสมตามเป้าหมายในการรักษาของผู้ป่วยแต่ละราย

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคเอ็นอักเสบ (Tendonitis)

  • ขนาดยาเริ่มต้น : 150 มก. รับประทานวันละ 2 ครั้ง
  • ขนาดยาสูงสุด : 400 มก. ต่อวัน
  • ระยะเวลาในการรักษาตามปกติมักอยู่ที่ 7-14 วัน

คำแนะนำ

  • เมื่อได้รับการตอบสนองต่อการรักษาแล้ว ควรปรับขนาดยาและความถี่ในการรับประทานยาลงมาที่ขนาดยาต่ำสุดเท่าที่มีประสิทธิภาพ และใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ให้เหมาะสมตามเป้าหมายในการรักษาของผู้ป่วยแต่ละราย

การปรับขนาดยาสำหรับผู้ป่วยโรคไต

ไม่มีการปรับขนาดยาที่แนะนำสำหรับโรคไตขั้นรุนแรง หากจำเป็นต้องทำการรักษา ควรเฝ้าระวังสมรรถภาพของไตอย่างใกล้ชิด และควรลดขนาดยาต่อวัน

การปรับขนาดยาสำหรับผู้ป่วยโรคตับ

  • ควรใช้ยาอย่างระมัดระวัง อาจจำเป็นต้องลดขนาดยาต่อวันในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับเฉียบพลันหรือเป็นโรคไตเรื้อรัง
  • ผู้ป่วยที่มีผลการตรวจตับผิดปกติ หรือผู้ที่มีสัญญาณหรืออาการของตับบกพร่อง ควรเข้ารับการประเมินเพื่อตรวจหาโรคตับบกพร่อง หากเกิดโรคตับ หรือเกิดสัญญาณของโรค เช่น ภาวะเม็ดเลือดขาวมาก (eosinophilia) ผดผื่น ทั่วร่างกาย ควรหยุดใช้ยานี้

การฟอกไต

ไม่มีการปรับขนาดยาที่แนะนำ

คำแนะนำอื่นๆ

คำแนะนำการใช้ยา

  • รับประทานวันละ 2 ครั้งพร้อมกับอาหาร

ทั่วไป

  • โดยปกติ ผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เกินครึ่ง จะตอบสนองต่อการรักษาภายใน 1 สัปดาห์นับตั้งแต่เริ่มต้นการรักษา หากเป็นผู้ป่วยโรคอื่น อาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น
  • เมื่อตอบสนองต่อการรักษาแล้ว ควรปรับขนาดยาและความถี่ในการใช้ยาลงมาที่ขนาดยาต่ำที่สุดเท่าที่มีประสิทธิภาพ และใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ให้เหมาะสมตามเป้าหมายในการรักษาของผู้ป่วยแต่ละราย
  • ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดฉับพลัน โรคหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมองมักเพิ่มขึ้น เมื่อใช้ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ อาจการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาที่คุณกำลังทำการรักษา และความเสี่ยงอาจเพิ่มขึ้นหากใช้ยาเป็นเวลานาน เคยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ (cardiovascular disease) หรือมีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือใช้ยาในขนาดสูง

การเฝ้าระวัง

  • หลอดเลือดหัวใจ : เฝ้าระวังความดันโลหิตอย่างใกล้ชิดในช่วงเริ่มต้นการรักษาและตลอดชุดการรักษา
  • ระบบทางเดินอาหาร : เฝ้าระวังสัญญาณและอาการของเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
  • สมรรถภาพของไต : เฝ้าระวังสถานะของไต โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่โปรสตาแกลนดินส์ของไต (renal prostaglandins) มีบทบาทในการการรักษาระดับการไหลผ่านของเลือดที่หล่อเลี้ยงไต (renal perfusion)
  • เฝ้าระวังจำนวนเม็ดเม็ดเลือด สมรรถภาพของไต และสมรรถภาพของตับเป็นระยะๆ สำหรับผู้ป่วยที่รับการรักษาในระยะยาว

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย

  • ผู้ป่วยควรรับคำแนะนำทางการแพทย์หากมีสัญญาณและอาการของโรคของหลอดเลือดและหัวใจ โรคระบบทางเดินอาหาร ปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ของผิวหนัง อาการแพ้ ความเป็นพิษต่อตับ หรือน้ำหนักขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือภาวะบวมน้ำ (edema)
  • ผู้ป่วยควรเข้ารับการรักษาทันที หากมีสัญญาณและอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ ทั้งอาการหายใจไม่อิ่ม พูดไม่ชัด เจ็บหน้าอก หรือร่างกายซีกใดซีกหนึ่งอ่อนแรง
  • ผู้ป่วยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญการดูแลสุขภาพหากตั้งครรภ์ มีแผนจะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร หากอายุครรภ์ตั้งแต่ 30 สัปดาห์ขึ้นไป ไม่ควรใช้ยานี้
  • ผู้ป่วยควรรับทราบว่ามีโอกาสในการเกิดปฏิกิริยาของยาเป็นจำนวนมากและผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้ยาใหม่ๆ รวมถึงยาหาซื้อได้เอง

ขนาดยาซูลินแดคสำหรับเด็ก

ยังไม่มีการพิสูจน์ความความปลอดภัยและประสิทธิภาพของขนาดยานี้สำหรับผู้ป่วยเด็ก ยานี้อาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้ ดังนั้น จึงควรทำความเข้าใจกับความปลอดภัยของยาก่อนการใช้ยา  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อกับแพทย์หรือเภสัชกร

รูปแบบของยา

ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้

  • ยาเม็ดสำหรับรับประทาน
  • ยาผงเตรียมสำหรับผสม

กรณีฉุกเฉินหรือการใช้ยาเกินขนาด

หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที

กรณีลืมใช้ยา

หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติ ไม่ควรเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

เภสัชกรอาชานนท์ สมศักดิ์

ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา