backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

ราบีพราโซล (Rabeprazole)

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย เภสัชกรวิสสุตา ชั้นประเสริฐ · ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย จิดาภา ติยะสิริทานนท์ · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

ราบีพราโซล (Rabeprazole)

ข้อบ่งใช้ ราบีพราโซล

ราบีพราโซล ใช้สำหรับ

ราบีพราโซล (Rabeprazole) เป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาปัญหาที่กระเพาะอาหาร และหลอดอาหารบางประเภท เช่น กรดไหลย้อนหรือแผลอักเสบ ยานี้ออกฤทธิ์โดยลดกรดในกระเพาะอาหาร ยา ราบีพราโซล ยังบรรเทาอาการแสบร้อนกลางหน้าอก กลืนอาหารลำบากและไอเรื้อรัง ยานี้ช่วยลดความเสียหายของกระเพาะอาหาร และหลอดอาหารที่เกิดจากกรด ช่วยป้องกันการอักเสบของแผล และอาจป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร ยาราบีพราโซลอยู่ในกลุ่มของยายับยั้งการหลั่งกรด (proton pump inhibitors หรือ PPIs)

วิธีการใช้ยาราบีพราโซล

  • หากคุณรับประทานยาชนิดเม็ด คุณอาจรับประทานยาพร้อมอาหาร หรือรับประทานเดี่ยวๆ ตามที่แพทย์สั่ง ปกติแล้วจะเป็น 1 ถึง 2 ครั้งต่อวัน กลืนยาทั้งเม็ดพร้อมน้ำ อย่าทำให้ยาแตก เคี้ยว หรือแบ่งยา การกระทำดังกล่าวอาจทำให้ยาออกฤทธิ์พร้อมกันทันที และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง
  • หากคุณรับประทานยาชนิดแคปซูล รับประทานยาก่อนอาหาร 30 นาทีตามที่แพทย์สั่ง ปกติแล้วจะเป็นหนึ่งครั้งต่อวัน อย่ากลืนแคปซูลทั้งหมด เปิดแคปซูลออก และโรยผงยาลงไปในอาหารเหลว (เช่น โยเกิร์ต) รวมถึงเครื่องดื่ม อาหารหรือเครื่องดื่มควรจะมีอุณหภูมิเท่ากับหรือต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง กลืนอาหารหรือเครื่องดื่มที่ผสมกับแคปซูลแล้ว ภายใน 15 นาที หลังจากเริ่มเตรียมยา อย่าเคี้ยว หรือบดอาหาร หรือเครื่องดื่มให้ละเอียด
  • ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยา ขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองต่อการรักษา สำหรับเด็ก ขนาดยาขึ้นอยู่กับน้ำหนัก
  • หากจำเป็น อาจรับประทานยาลดกรดพร้อมกับยานี้ หากคุณกำลังรับประทานยาซูคราลเฟต (sucralfate) อยู่เช่นกัน รับประทานยาราบีพลาโซลก่อนยาวูคราลเฟตอย่างน้อย 30 นาที
  • ใช้ยานี้เป็นประจำเพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด เพื่อช่วยจำ รับประทานยานี้ในเวลาเดียวกันของแต่ละวัน ใช้ยานี้จนกว่าจะครบตามที่แพทย์สั่ง แม้ว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตาม
  • แจ้งให้แพทย์ทราบ หากคุณยังมีอาการต่อเนื่องหรืออาการแย่ลง ความเสี่ยงของผลข้างเคียงจะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับระยะเวลาที่ควรใช้ยานี้

การเก็บรักษายาราบีพราโซล

คุณควรเก็บยาราบีพราโซลไว้ในอุณหภูมิห้อง รวมถึงเก็บให้พ้นจากแสงและความชื้น เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับยา คุณไม่ควรเก็บยาราบีพราโซลไว้ในห้องน้ำหรือตู้เย็น ยาราบีพราโซลแต่ละยี่ห้ออาจมีวิธีเก็บแตกต่างกันไป สิ่งสำคัญคือการอ่านคำแนะนำการเก็บรักษายาบนฉลากผลิตภัณฑ์ หรือถามเภสัชกร เพื่อความปลอดภัย คุณควรเก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

คุณไม่ควรทิ้งยายาราบีพราโซลลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำอย่างนั้น ดังนั้น สิ่งสำคัญคือทิ้งยาเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่จำเป็นต้องใช้ยาอีกต่อไป ปรึกษาเภสัชกร เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีทิ้งยาอย่างปลอดภัย

ข้อควรระวังและคำเตือน

ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาราบีพราโซล

  • ก่อนใช้ยาราบีพราโซล แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ หากคุณแพ้ยาชนิดนี้ ยาที่ใกล้เคียงกัน เช่น ยาแลนโซลพราโซล (lansoprazole) ยาโอเมพราโซล (omeprazole) รวมถึงหากคุณมีอาการแพ้อื่นๆ ยาตัวนี้อาจมีส่วนผสมที่ไม่ได้ออกฤทธิ์ แต่อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้หรือปัญหาอื่นๆ ปรึกษาเภสัชกรเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
  • ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติการเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคตับและโรคลูปัส (lupus)
  • อาการบางอย่างอาจเป็นสัญญาณของโรคที่รุนแรงมากกว่า เข้ารับการรักษาทันที หากคุณเกิดอาการแสบร้อนกลางหน้าอกพร้อมกับหน้ามืด เหงื่อออกหรือวิงเวียนศีรษะ เจ็บหน้าอก ปวดกราม ปวดแขนหรือไหล่ (โดยเฉพาะหายใจถี่หรือเหงื่อออกผิดปกติ) น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ยายับยั้งการหลั่งกรด เช่น ยาราบีพราโซลอาจเพิ่มความเสี่ยงของกระดูกหัก โดยเฉพาะหากใช้เป็นระยะเวลานาน ขนาดยาที่สูงกว่าปกติหรือใช้ในผู้ป่วยสูงอายุ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับวิธีป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกหรือกระดูกหัก เช่น รับประทานอาหารเสริมที่เป็นแคลเซียม เช่น แคลเซียมซิเตรท (calcium citrate) หรือวิตามินดี
  • ก่อนเข้ารับการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบ เกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ (รวมถึงยาที่จำหน่ายตามใบสั่งยา ยาที่จำหน่ายโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยาและสมุนไพร)
  • ระหว่างตั้งครรภ์ ควรรับประทานยานี้เมื่อจำเป็นเท่านั้น ปรึกษาความเสี่ยงและข้อดีกับแพทย์
  • ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่ายานี้จะซึมเข้าสู่น้ำนมหรือไม่ ผลของยาต่อทารกก็ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดเช่นกัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ไม่มีการศึกษาในผู้หญิงที่เพียงพอ ที่จะระบุความเสี่ยงขณะที่ใช้ยาราบีพลาโซล ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เสมอ เพื่อชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ก่อนรับประทานยาราบีพลาโซล อ้างอิงจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ยาราบีพลาโซลจัดเป็นยากลุ่มเสี่ยงสำหรับสตรีมีครรภ์ประเภท N

ต่อไปนี้คือประเภทความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา

· A – ไม่เสี่ยง

· B – ไม่พบความเสี่ยงในงานวิจัยบางชิ้น

· C – อาจจะมีความเสี่ยง

· D – มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง

· X – ห้ามใช้

· N – ไม่ทราบแน่ชัด

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงของการใช้ยาราบีพราโซล

  • คุณอาจปวดศีรษะ หากยังมีอาการต่อเนื่องหรืออาการแย่ลง แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทันที
  • โปรดระลึกไว้ว่า แพทย์ได้จ่ายยานี้เนื่องจากได้ตัดสินใจแล้วว่า นี่จะมีประโยชน์ต่อคุณ มากกว่าความเสี่ยงที่เกิดจากผลข้างเคียง หลายคนใช้ยานี้แล้วไม่มีผลข้างเคียงรุนแรงใดๆ
  • แจ้งให้แพทย์ทราบทันที หากเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง ได้แก่ อาการของระดับแมกนีเซียมในเลือดต่ำ เช่น หัวใจเต้นแรง ช้าหรือผิดปกติ กล้ามเนื้อชักกระตุกหรือเป็นลมชัก สัญญาณของโรคลูปัส เช่น ผื่นที่จมูกหรือแก้ม อาการปวดข้อที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือแย่ลง
  • น้อยครั้งที่ยานี้จะทำให้เกิดอาการท้องเสีย ที่สัมพันธ์กับเชื้อคลอสไทรเดียม ดิฟิซายล์ อย่าใช้ยาแก้ท้องเสีย หรือยาแก้ปวดชนิดเสพติด หากคุณมีอาการต่อไปนี้ เนื่องจากยาเหล่านี้อาจทำให้อาการแย่ลง แจ้งให้แพทย์ทราบทันที หากคุณมีอาการเหล่านี้ ได้แก่ ท้องเสียเรื้อรัง เจ็บหรือปวดท้องและกระเพาะอาหาร เป็นไข้และมีเลือดหรือมูกในอุจจาระ
  • น้อยครั้งที่ยายับยั้งการหลั่งกรด เช่น ยาราบีพลาโซลจำทำให้เกิดการพร่องวิตามินบี 12 ในร่างกาย ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นหากใช้ยานี้ทุกวันเป็นเวลานาน (3 ปีหรือนานกว่านั้น) แจ้งให้แพทย์ทราบทันที หากคุณเกิดอาการพร่องวิตามินบี 12 เช่นอ่อนแรงผิดปกติ เจ็บและเสียวแปลบที่มือและขา
  • ไม่ค่อยมีอาการแพ้ยาที่รุนแรงเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตาม เข้ารับการรักษาทันที หากคุณสังเกตเห็นอาการแพ้ที่รุนแรง ได้แก่ เกิดผื่น คันผิว หรือผิวบวม (โดยเฉพาะที่ใบหน้า ลิ้นหรือลำคอ) วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง มีปัญหาเรื่องการหายใจ สัญญาณของปัญหาที่ไต เช่น การเปลี่ยนแปลงของปริมาณปัสสาวะ
  • ไม่ใช่ทุกคนที่จะแสดงอาการอันเนื่องมาจากผลข้างเคียงเหล่านี้ อาจมีผลข้างเคียงอื่นที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากคุณมีความกังวลเรื่องผลข้างเคียง โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาอื่น

  • ยาชนิดอื่นที่อาจทำปฏิกิริยากับยานี้คือยาเมโธเทรกเซท (methotrexate) โดยเฉพาะขนาดยาในปริมาณมาก
  • ยาชนิดอื่นอาจต้องอาศัยกรดในกระเพาะอาหารเพื่อที่ร่างกายจะได้ดูดซึมยาอย่างเหมาะสม ยาราบีพราโซลมีฤทธิ์ลดกรดในกระเพาะอาหาร ดังนั้นจึงอาจเปลี่ยนฤทธิ์ของยาเหล่านั้น ตัวอย่างของยาดังกล่าวรวมถึงยาแอมปิซิลลิน (ampicillin) ยาอะทาซานาเวียร์ (atazanavir) ยาเออร์โลทินิบ (erlotinib) ยาเนลฟินาเวียร์ (nelfinavir) ยาพาโซพานิบ (pazopanib) ยาริลพิไรวีน (rilpivirine) ยาต้านเชื้อรากลุ่มเอโซล (azole antifungal) บางชนิดเช่นยาไอทราโคนาโซล (itraconazole) ยาคีโตโคนาโซล (ketoconazole) ยาโพซาโคนาโซล (posaconazole) เป็นต้น
  • ยานี้อาจทำให้ผลการทดสอบบางอย่างจากห้องปฏิบัติการผิดพลาด แจ้งให้บุคลากรห้องปฏิบัติการและแพทย์ทราบว่า คุณกำลังใช้ยานี้

    ยาราบีพราโซลอาจมีปฏิกิริยาต่อยาตัวอื่น ที่คุณกำลังรับประทานอยู่ และอาจส่งผลให้ยาที่คุณรับประทานออกฤทธิ์ต่างไปจากเดิม หรือเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่รุนแรง เพื่อหลีกเลี่ยงการทำปฏิกิริยาต่อกันระหว่างยาที่อาจเป็นไปได้ คุณควรเก็บรายชื่อยาทั้งหมดที่คุณใช้ (ทั้งยาที่ต้องใช้ใบวั่งจากแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร) และแจ้งให้แพทย์รวมถึงเภสัชกรทราบ เพื่อความปลอดภัย อย่าเริ่มหรือหยุดรับประทาน รวมถึงเปลี่ยนขนาดยาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์

    ปฏิกิริยากับอาหารหรือยาอื่น

    ยาราบีพราโซลอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์ โดยเปลี่ยนฤทธิ์ยา หรือเพิ่มความเสี่ยงให้ที่จะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ถึงอาหารหรือแอลกอฮอล์ที่อาจทำปฏิกิริยากับยานี้ ก่อนรับประทานยา

    ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น

    ยาราบีพราโซลอาจส่งผลต่อสุขภาพของคุณ ปฏิกิริยาของยาที่มีต่อร่างกายอาจทำให้สุขภาพของคุณย่ำแย่ลง หรือเปลี่ยนฤทธิ์ของยา สิ่งสำคัญคือ โปรดแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบเกี่ยวกับสุขภาพและโรคประจำตัวของคุณ

    ขนาดยา

    ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง ก่อนใช้ยาราบีพราโซล

    ขนาดยาราบีพราโซลสำหรับผู้ใหญ่

    ขนาดยาในผู้ใหญ่สำหรับรักษาแผลในลำไส้เล็ก (Duodenal Ulcer)

    • รับประทานยาครั้งละ 20 มิลลิกรัม 1 ครั้งต่อวัน
    • ระยะเวลาในการใช้ยา: 4 สัปดาห์

    คำแนะนำ: ในขณะที่แผลในลำไส้เล็กของผู้ป่วยส่วนมากจะสมานตัวหลังจากใช้ยาแล้ว 4 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเพิ่มเติมเพื่อให้แผลในลำไส้เล็กสมานตัว

    การใช้: ใช้รักษาและบรรเทาแผลในลำไส้เล็ก

    ขนาดยาในผู้ใหญ่สำหรับรักษาโรคหลอดอาหารอักเสบ

    • รับประทานยาครั้งละ 20 มิลลิกรัม 1 ครั้งต่อวัน
    • ระยะเวลาในการใช้ยา: 4 ถึง 8 สัปดาห์

    คำแนะนำ: หากผู้ป่วยไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ยาแล้ว 8 สัปดาห์ แพทย์อาจพิจารณารักษาเพิ่มอีก 8 สัปดาห์

    การใช้: ใช้รักษาและบรรเทาอาการจากโรคหลอดอาหารอักเสบหรือโรคกรดไหลย้อน (GERD)

    ขนาดยาในผู้ใหญ่สำหรับรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

    • รับประทานยาครั้งละ 20 มิลลิกรัม 1 ครั้งต่อวัน
    • ระยะเวลาในการใช้ยา: 4 ถึง 8 สัปดาห์

    คำแนะนำ: หากผู้ป่วยไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ยาแล้ว 8 สัปดาห์ แพทย์อาจพิจารณารักษาเพิ่มอีก 8 สัปดาห์

    การใช้: ใช้รักษาและบรรเทาอาการจากโรคหลอดอาหารอักเสบหรือโรคกรดไหลย้อน (GERD)

    ขนาดยาในผู้ใหญ่สำหรับป้องกันโรคแผลในลำไส้เล็ก (Duodenal Ulcer)

    • รับประทานยาครั้งละ 20 มิลลิกรัม 1 ครั้งต่อวัน
    • ระยะเวลาในการใช้ยา: สูงสุดคือ 12 สัปดาห์

    คำแนะนำ: การศึกษาแบบควบคุมปัจจัยในเรื่องการรักษาแบบประคับประคอง ยังไม่อยู่ในระยะเกิน 12 เดือน

    การใช้: ใช้เพื่อให้แผลยังคงรักษาสภาพในการสมานตัวและลดอาการแสบร้อนกลางหน้าอกกำเริบของผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน

    ขนาดยาในผู้ใหญ่สำหรับรักษาโรคกรดไหลย้อน

    • รับประทานยาครั้งละ 20 มิลลิกรัม 1 ครั้งต่อวัน
    • ระยะเวลาในการใช้ยา: สูงสุดคือ 4 สัปดาห์

    คำแนะนำ: หากผู้ป่วยไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ยาแล้ว 4 สัปดาห์ แพทย์อาจพิจารณาวิธีการรักษาเพิ่มเติม

    การใช้: ใช้รักษาอาการแสบร้อนกลางหน้าอก ในเวลากลางวันและกลางคืน รวมถึงอาการอื่นที่เกี่ยวข้องกับโรคกรดไหลย้อน

    ขนาดยาในผู้ใหญ่สำหรับรักษาอาการติดเชื้อเอชไพโลไร (Helicobacter pylori Infection)

    • รับประทานยาครั้งละ 20 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน ร่วมกับยาอะม็อกซีซิลลิน (amoxicillin) และยาคลาริโทมัยซิน (clarithromycin)
    • ระยะเวลาในการใช้ยา: 7 วัน

    คำแนะนำ

    • ดูข้อมูลผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตเพื่อศึกษาขนาดยายาอะม็อกซีซิลลินและยาคลาริโทมัยซิน
    • ควรรับประทานยาทั้งสามชนิดในช่วงอาหารมื้อเช้าและเย็น
    • การกำจัดเชื้อเอชไพโลไร ลดความเสี่ยงของการกลับมาเกิดแผลในลำไส้เล็ก
    • ผู้ป่วยที่ใช้ยาแล้วไม่ได้ผล ควรทำการทดสอบความไวต่อโรค (susceptibility testing) และ/หรือเริ่มการรักษาแพทย์ทางเลือกเพื่อต้านจุลชีพ (alternative antimicrobial therapy)

    การใช้: ใช้เพื่อรักษาและกำจัดแบคทีเรียเอชไพโลไรและแผลลำไส้เล็ก ที่กำลังเป็นอยู่ หรือเคยเป็น ภายใน 5 ปี

    ขนาดยาในผู้ใหญ่สำหรับรักษาอาการกลุ่มโซลลิงเจอร์-เอลลิสัน ( Zollinger-Ellison Syndrome)

    • ขนาดยาเริ่มต้น: รับประทานยาครั้งละ 60 มิลลิกรัม 1 ครั้งต่อวัน
    • ขนาดยาที่มีผลต่อการรักษา: รับประทานยาครั้งละ 60 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวันหรือครั้งละ 100 มิลลิกรัม 1 ครั้งต่อวัน
    • ระยะเวลาในการใช้ยา: สูงสุดคือ 1 ปี

    คำแนะนำ

    • ขนาดยาควรเป็นไปตามผู้ป่วยแต่ละรายและควรใช้ยาให้นานเท่าที่จำเป็นเพื่อการรักษา
    • อาจจำเป็นต้องแบ่งขนาดยาในผู้ป่วยบางาย

    การใช้: ใช้รักษาอาการหลั่งสารของร่างกายมากเกินไปซึ่งเป็นผลจากพยาธิ (pathological hypersecretory condition) เช่นกลุ่มอาการโซลลิงเจอร์-เอลลิสัน

    คำแนะนำอื่นๆ

    คำแนะนำในการใช้

    • หลีกเลี่ยงการเคี้ยว การทำให้ยาแตกหรือแบ่งยาออกเป็นส่วนๆ
    • อาจรับประทานยาเม็ดพร้อมอาหารหรือไม่ก็ได้
    • ควรรับประทานแคปซูลหรือยาเม็ดขนาดเล็ก ก่อนมื้ออาหาร 30 นาที

    ข้อกำหนดในการจัดเก็บ: ศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิต

    โดยทั่วไป

    • ผู้ป่วยที่ใช้ยาเป็นระยะเวลานานควรได้รับการประเมินอาการเป็นประจำเพื่อดูว่ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยานี้หรือไม่
    • อาจปรับปรุงการให้ยา 1 ครั้งต่อวันอย่างเป็นประจำหากรับประทานยานี้ก่อนอาหารในเวลาเช้า
    • ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะในผู้ป่วยที่ไตหรือตับทำงานผิดปกติ
    • ผู้ป่วยที่ใช้ยานี้เพื่อรักษาอาการของโรคกรดไหลย้อนนานเกิน 6 เดือนควรได้รับการประเมินอาการเพิ่มเติม

    การเฝ้าสังเกต

    • ระดับแมกนีเซียม โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ใช้ยาอื่นที่มีผลต่อภาวะแมกนีเซียมต่ำในเลือดหรือยาที่ใช้รักษาในระยะยาว
    • ระดับวิตามินบี 12 โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ใช้ยาในการรักษาระยะยาว
    • กระดูกหัก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคกระดูกพรุนสูง
    • ระดับแคลเซียม วิตามินดี โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ใช้ยาในการรักษาระยะยาว
    • การตรวจระยะเวลาในการแข็งตัวของเลือด (INR) และการตรวจระยะเวลาในการทำงานของโพรทรอมบิน (prothrombin time) ในผู้ป่วยที่ได้รับยาวาร์ฟาริน (warfarin) ร่วมด้วย

    คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย

    • อาจเปิดแคปซูล และโรยลงบนอาหารนุ่มๆ ที่อยู่ในอุณหภูมิห้องหรือปล่อยให้เย็นลงแล้ว หรือใส่ในของเหลวปริมาณเล็กน้อย ผู้ป่วยควรรับประทานยาให้หมดภายใน 15 นาทีหลังการเตรียมยา
    • หากใช้ยานี้เพื่อรักษาอาการติดเชื้อเอชไพโลไร แจ้งให้ผู้ป่วยทราบว่า การรับประทานยาให้ครบ 7 วันเป็นเรื่องสำคัญ
    • แจ้งให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาทันที หากมีสัญญาณหรืออาการของการไวต่อสิ่งกระตุ้น การติดเชื้อคลอสตริเดียมดิฟฟิไซล์ (Clostridium difficile) หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (systemic cutaneous lupus erythematosus) เกิดชึ้น
    • แนะนำให้ผู้ป่วยแจ้งกับผู้ให้บริการด้านการแพทย์ หากผู้ป่วยตั้งครรภ์ มีความคิดที่จะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร

    ขนาดยาราบีพราโซลสำหรับเด็ก

    ขนาดยาในเด็กสำหรับรักษาโรคกรดไหลย้อน

    อายุ 1 ถึง 11 ปี

    • น้ำหนักน้อยกว่า 15 กิโลกรัม: รับประทานยาครั้งละ 5 มิลลิกรัม 1 ครั้งต่อวัน อาจมีทางเลือกที่จะเพิ่มเป็น 10 มิลลิกรัมหากไม่มีการตอบสนองเพียงพอ
    • น้ำหนัก 15 กิโลกรัมหรือมากกว่า: รับประทานยาครั้งละ 10 มิลลิกรัม 1 ครั้งต่อวัน
    • ระยะเวลาในการรักษา: สูงสุดคือ 12 สัปดาห์

    อายุ 12 ปีหรือมากกว่า

    • รับประทานยาครั้งละ 20 มิลลิกรัม 1 ครั้งต่อวัน
    • ระยะเวลาในการรักษา: สูงสุดคือ 8 สัปดาห์

    การใช้

    • ใช้รักษาโรคกรดไหลย้อน
    • ใช้รักษาอาการของโรคกรดไหลย้อน

    การปรับขนาดยาสำหรับผู้ป่วยโรคไต

    ไม่แนะนำให้ปรับขนาดยา

    การปรับขนาดยาสำหรับผู้ป่วยโรคตับ

    • ตับทำงานผิดปกติขั้นไม่รุนแรงถึงปานกลาง (ค่าประสิทธิภาพการทำงานของตับหรือ Child-Pugh เป็นเอหรือบี): ไม่แนะนำให้ปรับขนาดยา
    • ตับทำงานผิดปกติขั้นรุนแรง (ค่าประสิทธิภาพการทำงานของตับเป็นซี): ใช้ยาอย่างระมัดระวัง

    ข้อควรระวัง

    ไม่ได้มีการยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพในเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี (ในรูปของยาเม็ดขนาดเล็ก) และ 12 ปี (ในรูปของยาเม็ด)

    รูปแบบของยา

    ยา ราบีพราโซล มีรูปแบบดังต่อไปนี้

    • ยาเม็ดสำหรับรับประทานที่ออกฤทธิ์ช้า
    • แคปซูลสำหรับรับประทานที่ออกฤทธิ์ช้า

    กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด

    หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที

    กรณีลืมใช้ยา

    หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติ ไม่ควรเพิ่มขนาดยา

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรค และการรักษาโรคแต่อย่างใด

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    เภสัชกรวิสสุตา ชั้นประเสริฐ

    ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


    เขียนโดย จิดาภา ติยะสิริทานนท์ · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา