อะมิทริปไทลีน (Amitriptyline) ใช้เพื่อรักษาภาวะทางจิตใจ/อารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า (depression) ยานี้อาจช่วยปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น และรู้สึกสบายดีขึ้น ช่วยผ่อนคลายความกังวลและความตึงเครียด ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น และช่วยเพิ่มระดับพลังงานในร่างกาย
[embed-health-tool-bmr]
ข้อบ่งใช้
ยา อะมิทริปไทลีน ใช้สำหรับ
ยา อะมิทริปไทลีน (Amitriptyline) ใช้เพื่อรักษาภาวะทางจิตใจ/อารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า (depression) ยานี้อาจช่วยปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น และรู้สึกสบายดีขึ้น ช่วยผ่อนคลายความกังวลและความตึงเครียด ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น และช่วยเพิ่มระดับพลังงานในร่างกายของคุณ ยานี้เป็นหนึ่งในยาต้านซึมเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก (tricyclic antidepressants) ยานี้ออกฤทธิ์โดยส่งผลต่อสมดุลของสารเคมีในสมอง เช่น สารเซโรโทนิน
นอกจากนี้ ยานี้อาจใช้สำหรับรักษาอาการปวดเส้นประสาท เช่น อาการปลายประสาทอักเสบ (peripheral neuropathy) อาการปวดปลายประสาทหลังจากเป็นงูสวัด (postherpetic neuralgia) โรคบูลิเมีย (bulimia) ภาวะทางจิตใจ/อารมณ์อื่น ๆ (เช่น ความวิตกกังวล อาการแพนิค) หรือเพื่อป้องกันอาการปวดศีรษะแบบไมเกรน
วิธีใช้ยา อะมิทริปไทลีน
รับประทานยา วันละ 1 ถึง 4 ครั้ง หรือตามที่แพทย์สั่ง หากคุณรับประทานยาเพียงวันละครั้ง ให้รับประทานก่อนเข้านอน เพื่อหลีกเลี่ยงอาการอาการง่วงนอนในเวลากลางวัน ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและการตอบสนองต่อการรักษา
แพทย์อาจสั่งให้คุณเริ่มใช้ยานี้ในขนาดต่ำ แล้วจึงค่อยเพิ่มขนาดใช้ยาขึ้นเรื่อยๆ เพื่อลดผลข้างเคียงของยา ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ใช้ยาอย่างสม่ำเสมอเพื่อได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้ยา เพื่อให้ง่ายต่อการจำควรใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน ห้ามเพิ่มขนาดยา หรือใช้ยาบ่อยขึ้น หรือนานกว่าที่แพทย์สั่ง เนื่องจากอาการของคุณจะไม่ดีขึ้นเร็วกว่าเดิม และความเสี่ยงจากผลข้างเคียงจะเพิ่มขึ้น
ควรใช้ยาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้คุณจะรู้สึกดีขึ้นแล้ว ห้ามหยุดใช้ยานี้โดยไม่ปรึกษาแพทย์ อาการบางอย่างอาจแย่ลงหากหยุดใช้ยานี้โดยทันที
นอกจากนี้ คุณอาจมีอาการ เช่น อารมณ์แปรปรวน ปวดศีรษะ รู้สึกเหนื่อย และนอนไม่หลับ เพื่อเป็นการป้องกันอาการเหล่านี้ในขณะที่คุณหยุดการรักษาโดยใช้ยานี้ แพทย์อาจค่อยๆ ลดขนาดยา ให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม ให้รายงานอาการที่เกิดขึ้นใหม่หรือที่แย่ลงโดยทันที
การเก็บรักษายา อะมิทริปไทลีน
การเก็บรักษายาอะมิทริปไทลีนที่ดีที่สุด ควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้พ้นแสงโดยตรงและความชื้น เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของยา ไม่ควรเก็บยาอะมิทริปไทลีนไว้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง
ยาอะมิทริปไทลีนมีหลากหลายยี่ห้อซึ่งมีวิธีการเก็บรักษาที่แตกต่างกัน เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตรวจสอบวิธีการเก็บรักษาที่ระบุไว้ในบรรจุภัณฑ์ หรือสอบถามจากเภสัชกร เพื่อความปลอดภัย คุณควรเก็บยาทั้งหมดให้ห่างจากเด็กหรือสัตว์เลี้ยง
คุณไม่ควรทิ้งยาอะมิทริปไทลีนลงในโถส้วม หรือในท่อระบายน้ำ เว้นแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น สิ่งสำคัญ คือ ต้องกำจัดยาอย่างเหมาะสมเมื่อหมดอายุหรือไม่ใช้งานแล้ว ให้ปรึกษาเภสัชกรสำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการกำจัดผลิตภัณฑ์อย่างปลอดภัย
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาอะมิทริปไทลีน
ก่อนใช้ยาอะมิทริปไทลีน
- ให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกร หากคุณแพ้ยาอะมิทริปไทลีนหรือยาอื่นๆ
- ให้แจ้งแพทย์หากคุณกำลังใช้ยาซิสซาไพรด์ (cisapride) อย่างเช่น โพรพุลซิด (Propulsid) หรือยายับยั้งเอนไซม์โมโนอามีนออกซิเดส (monoamine oxidase (MAO) inhibitors) เช่น ยาไอโซคาร์บอกซาซิด (isocarboxazid) อย่างมาร์แพลน (Marplan) ยาฟีเนลซีน (phenelzine) อย่างนาร์ดิล (Nardil) ยาเซเลจิลีน (selegiline) อย่างเอลเดพริล (Eldepryl) ยาเอมแซม (Emsam) ยาเซลาพาร์ (Zelapar)) และยาทรานิลไซโพรมีน (tranylcypromine) อย่างพาร์เนท (Parnate) หรือหากคุณได้ใช้ยายับยั้งเอนไซม์โมโนอามีนออกซิเดสในระหว่าง 14 วันที่ผ่านมา แพทย์อาจจะแจ้งคุณว่า คุณไม่ควรใช้ยาอะมิทริปไทลีน
- ให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับยาที่แพทย์สั่ง และที่ซื้อมาใช้เอง วิตามิน อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่คุณใช้อยู่ ให้มั่นใจว่ารวมถึงยาดังต่อไปนี้ คือ ยาแก้แพ้ ยาไซเมทิดีน (cimetidine) อย่างทากาเมท (Tagamet), ยาลดความอ้วน, ยาเลิกเหล้า (disulfiram) อย่างแอนทาบิวส์ (Antabuse), ยากัวเนธิดีน (guanethidine) อย่างอิสเมลิน (Ismelin), ยาไอปราโทรเปียม (ipratropium) อย่างอะโทรเวนท์ (Atrovent), ยาควินิดีน (quinidine) อย่างควินิเดกซ์ (Quinidex), ยาสำหรับภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ เช่น ยาฟลีเคไนด์ (flecainide) อย่างแทมโบคอร์ (Tambocor) และยาโพรพาฟีโนน (propafenone) อย่างริทมอล (Rythmol), ยาสำหรับรักษาภาวะวิตกกังวล , หอบหืด, หวัด, ลำไส้แปรปรวน,โรคทางจิต, คลื่นไส้, โรคพาร์กินสัน, อาการชัก, แผลเปื่อย หรืออาการเกี่ยวกับท่อปัสสาวะ, ยาต้านภาวะซึมเศร้าอื่นๆ, ยาฟีโนบาร์บิทอล (phenobarbital) อย่างเบลลาทอล (Bellatal) โซลโฟตัน (Solfoton), ยาระงับประสาท, ยารักษาโรคซึมเศร้ากลุ่ม selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) เช่น ยาไซทาโลแพรม อย่างเซเลซา (Celexa), ยาฟลูอ็อกเซทีน (fluoxetine) อย่างโพรแซค (Prozac) ซาราเฟม (Sarafem), ยาฟลูว็อกซามีน (fluvoxamine) อย่างลูว็อกซ์ (Luvox) ยาพาร็อกเซทีน (paroxetine) อย่างพาซิล (Paxil) และยาเซอร์ทราลีน (sertraline) อย่างโซล็อฟต์ (Zoloft), ยานอนหลับ, ยารักษาไทรอยด์ และยาสงบระงับประสาท
- ให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรหากคุณเคยใช้ยาฟลูอ็อกเซทีน (fluoxetine) อย่างโพรแซค (Prozac) และซาราเฟม (Sarafem) ในช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา แพทย์อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนขนาดยา หรือติดตามอาการของคุณอย่างระมัดระวังสำหรับผลข้างเคียง
- ให้แจ้งแพทย์หากคุณมีภาวะหัวใจวายเมื่อไม่นานมานี้ แพทย์อาจจะสั่งคุณไม่ให้ใช้ยาอะมิทริปไทลีน
- ให้แจ้งแพทย์หากคุณดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก และหากคุณเป็นหรือเคยเป็นต้อหิน ต่อมลูกหมากโต, ปัสสาวะขัด อาการชัก, ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน, เบาหวาน, โรคจิตเภท (อาการป่วยทางจิตที่ก่อให้เกิดการคิดที่ถูกรบกวนหรือผิดปกติ การขาดความสนใจในชีวิต และภาวะอารมณ์รุนแรงหรือไม่เหมาะสม) หรือโรคเกี่ยวกับตับ ไต หรือหัวใจ
- ให้แจ้งแพทย์หากคุณตั้งครรภ์ หรือวางแผนจะตั้งครรภ์ หากคุณตั้งครรภ์ขณะใช้ยาอะมิทริปไทลีน ให้แจ้งแพทย์ ห้ามให้นมบุตรขณะใช้ยาอะมิทริปไทลีน
- ให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ในการใช้ยานี้ หากคุณมีอายุ 65 ปีหรือมากกว่า โดยปกติแล้วผู้สูงอายุไม่ควรใช้ เนื่องจากไม่ปลอดภัย และไม่ได้ผลการรักษาได้เท่ากับยาอื่นๆ ที่สามารถใช้รักษาโรคเดียวกันได้
- หากคุณกำลังเข้ารับการผ่าตัด รวมถึงการผ่าตัดเกี่ยวกับฟันด้วย ให้แจ้งแพทย์หรือทันตแพทย์ว่า คุณกำลังใช้ยาอะมิทริปไทลีน
- คุณควรทราบว่ายาอะมิทริปไทลีนอาจทำให้คุณง่วงซึม ห้ามขับรถยนต์หรือใช้งานเครื่องจักร จนกว่าคุณจะทราบว่ายานี้ส่งผลอย่างไรต่อคุณ
- ให้จำไว้ว่าแอลกอฮอล์สามารถเพิ่มอาการง่วงซึม อันเป็นผลจากการใช้ยานี้ได้มากขึ้น
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเพียงพอเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยาอะมิทริปไทลีนในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ที่ได้รับกับความเสี่ยงจากการใช้ยานี้ ยาอะมิทริปไทลีนจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์ประเภท C จัดลำดับโดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์ โดย FDA มีดังนี้
- A=ไม่มีความเสี่ยง
- B=ไม่มีความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C=อาจจะมีความเสี่ยง
- D=มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
- X=ห้ามใช้
- N=ไม่ทราบแน่ชัด
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยาอะมิทริปไทลีน
ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปบางประการ ได้แก่
- อาการง่วงซึม
- อาการเวียนศีรษะ
- อาการปากแห้ง
- การมองเห็นไม่ชัด
- อาการท้องผูก
- น้ำหนักเพิ่มขึ้น
- ปัสสาวะขัด
หากอาการใดๆ เหล่านี้เรื้อรังหรือแย่ลง ให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที
ให้แจ้งแพทย์ทันที หากผลข้างเคียงที่พบได้น้อยแต่มีความรุนแรงใดๆ เหล่านี้เกิดขึ้น
- เป็นแผลฟกช้ำ
- เลือดออกได้ง่าย
- แสบร้อนกลางอกเรื้อรัง
- อาการหนาวสั่น
- อาการหน้าตึง
- กล้ามเนื้อหดเกร็ง
- อาการปวดท้อง/ช่องท้องที่รุนแรง
- ความต้องการทางเพศลดลง
- หน้าอกขยาย/มีอาการปวด
- อุจจาระสีคล้ำ
- อาเจียนคล้ายกากกาแฟ
- เวียนศีรษะอย่างรุนแรง
- เป็นลม
- อาการชัก
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ยาอะมิทริปไทลีนอาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาชนิดอื่นที่คุณใช้อยู่ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงสำหรับอาการข้างเคียงที่รุนแรงขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาระหว่างยาที่อาจเกิดขึ้น
คุณควรทำรายการยาที่ใช้อยู่ทั้งหมด (ยาที่สั่งโดยแพทย์ ยาที่ไม่ได้สั่งโดยแพทย์ และยาสมุนไพร) และแจ้งแก่แพทย์หรือเภสัชกร เพื่อความปลอดภัยของคุณ ห้ามเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนแปลงการใช้ยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ปฏิกิริยาระหว่างยาอาจเปลี่ยนแปลงการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรง เอกสารนี้ไม่ได้ระบุปฏิกิริยาระหว่างยาที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งหมด ให้ทำรายการผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทั้งหมด (ยาที่สั่งโดยแพทย์ ยาที่ไม่ได้สั่งโดยแพทย์ และยาสมุนไพร) และแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ ห้ามเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนแปลงการใช้ยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ยาแก้หวัดหรือยาแก้แพ้ ยาระงับประสาท กลุ่มยาแก้ปวดชนิดเสพติด ยานอนหลับ ยาคลายกล้ามเนื้อ และยารักษาอาการชักหรือความกังวล สามารถทำให้เกิดอาการง่วงนอนที่เกิดจากการใช้ยาอะมิทริปไทลีนเพิ่มมากขึ้น ให้แจ้งแพทย์ หากคุณใช้ยาใดๆ เหล่านี้หรือยาต้านภาวะซึมเศร้าประเภทอื่นๆ อยู่
ก่อนใช้ยาอะมิทริปไทลีน ให้แจ้งแพทย์ว่าคุณได้ใช้ยาต้านภาวะซึมเศร้า “SSRI” ในช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา
- ยาไซทาโลแพรม (citalopram)
- ยาเอสไซทาโลแพรม (escitalopram)
- ยาฟลูอ็อกเซทีน (fluoxetine)
- ยาฟลูว็อกซามีน (fluvoxamine)
- ยาพาร็อกเซทีน (paroxetine)
- ยาเซอร์ทรัลลีน (sertraline)
ให้แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาชนิดอื่นทั้งหมดที่คุณใช้ โดยเฉพาะ
- ยาไซเมทิดีน (Cimetidine) อย่างทากาเมท (Tagamet)
- ยาไอโซนิอาซิด (Isoniazid) สำหรับรักษาวัณโรค
- ยาเมทิมาโซล (Methimazole) อย่างทาพาโซล (Tapazole)
- ยานิคาร์ดิพีน (Nicardipine) อย่างคาร์ดีน (Cardene)
- ยาโรพินิโรล (Ropinirole) อย่างรีควิป (Requip)
- ยาสมุนไพรจอห์นเวิร์ต (John’s wort)
- ยาทิโคลพิดีน (Ticlopidine) อย่างทิคลิด (Ticlid)
- ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาเทอร์บินาฟีน (terbinafine) อย่างลามิซิล (Lamisil)
- ยาต้านมาลาเรีย เช่น ยาคลอโรควิน (chloroquine) อย่างอะรีลัน (Arelan) หรือยาไพริเมทามีน (pyrimethamine) อย่างเดราพริม (Daraprim) หรือยาควินีน (quinine) อย่างควาลาควิน (Qualaquin)
- ยาต้านไวรัสเอชไอวี (HIV) หรือโรคเอดส์ (AIDS) เช่น ยาเดลาเวอร์ดีน (delavirdine) อย่างรีสคริปเตอร์ (Rescriptor)) หรือยาไรโทเนเวียร์ (ritonavir) อย่างนอร์เวียร์ (Norvir) หรือคาเลทรา (Kaletra)
- ยารักษาความผิดปกติทางจิต เช่น ยาอะริพิพราโซล (aripiprazole) อย่างอะบิลิฟาย (Abilify), ยาคลอร์โพรเมซีน (chlorpromazine) อย่างทอราซีน (Thorazine), ยาคลอซาพีน (clozapine) อย่างคลอซาริล (Clozaril) หรือฟาซาโคล (fazaclo), ยาฟลูเฟนาซีน (fluphenazine) อย่างเพอร์ไมทิล (Permitil) หรือโพรไลซิน (Prolixin), ยาฮาโลเพริดอล (haloperidol) อย่างฮาลดอล (Haldol), ยาเพอร์เฟนาซีน (perphenazine) อย่างไตรลาฟอน (Trilafon) หรือยาไทโอไรเดซีน (thioridazine) อย่างเมลลาริล (Mellaril)
- ยารักษาการเต้นของหัวใจ เช่น ยาอะมิโอดาโรน (amiodarone) อย่างคอร์ดาโรน (Cordarone) และเพเซอโรน (Pacerone), ยาดอเฟไทไลด์ (dofetilide) อย่างไทโคซิน (Tikosyn), ยาไอบูทิไลด์ (ibutilide) อย่างคอร์เวิร์ท (Corvert) หรือ ยาโซทาลอล (sotalol) อย่างเบทาเพส (Betapace)
- ยารักษาการเต้นของหัวใจ เช่น ยาไดโซไพราไมด์ (disopyramide) อย่างนอร์เพส (Norpace) ยาดรอเนดาโรน (dronedarone) อย่างมัลแทค (Multaq), ยาเฟลเคไนด์ (flecainide) อย่างแทมโบคอร์ (Tambocor), ยาเมซิเลทีน (mexiletine) อย่างเมซิทิล (Mexitil), ยาโพรเคนาไมด์ (procainamide) อย่างโพรเนสทิล (Pronestyl), ยาโพรพาฟีโนน (propafenone) อย่างริทมอล (Rythmol) หรือยาควินิดีน (quinidin) อย่างควินจี (Quin-G)
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยา อะมิทริปไทลีน อาจทำปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์ได้ โดยการเปลี่ยนแปลงการออกฤทธิ์ยา หรือเพิ่มความเสี่ยงสำหรับผลข้างเคียงที่รุนแรงขึ้น โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นของยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่นๆ
Amitriptyline อาจทำปฏิกิริยากับสภาวะทางสุขภาพของคุณ ปฏิกิริยาดังกล่าวอาจทำให้สภาวะทางสุขภาพเสื่อมลง หรือเปลี่ยนแปลงการออกฤทธิ์ของยา เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเสมอ เกี่ยวกับสภาวะทางสุขภาพทั้งหมดของคุณในปัจจุบัน
- โรคไบโพลาร์ (Bipolar disorder) ความผิดปกติทางอารมณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างภาวะตื่นเต้นมากผิดปกติหรือคุ้มคลั่ง (mania) และซึมเศร้า หรือมีความเสี่ยงในการเกิด
- ภาวะหัวใจวาย ที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้—ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะดังกล่าว
- เบาหวาน
- ต้อหิน
- โรคหัวใจ
- ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน
- โรคจิตเภท
- มีประวัติการชัก
- มีประวัติอาการปัสสาวะติดขัด —ให้ใช้อย่างระมัดระวัง อาจทำให้อาการเหล่านี้แย่ลง
- โรตตับ—ให้ใช้อย่างระมัดระวัง อาจมีผลให้เป็นได้มากขึ้นอันเป็นผลมาจากการขับยาออกจากร่างกายอย่างช้าๆ
ทำความเข้าใจกับขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้เสมอ
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาปกติสำหรับผู้ใหญ่สำหรับรักษาภาวะซึมเศร้า
- ขนาดยาเริ่มต้น: 25 ถึง 100 มก. โดยการรับประทานต่อวัน ในขนาดยาแบ่งใช้ 3 ถึง 4 ครั้ง หรือ 50 ถึง 100 มก. ก่อนนอน
- ขนาดยาปกติ 25 ถึง 150 มก. ต่อวัน ในครั้งเดียวหรือแบ่งใช้ 3 ถึง 4 ครั้ง ขนาดยา 25 มก. ต่อวัน ก่อนนอน ใช้รักษาภาวะซึมเศร้าก่อนมีประจำเดือน ควรเพิ่มขนาดยาทีละน้อย ผู้ป่วยในจำนวนเล็กน้อยที่รักษาตัวในโรงพยาบาล อาจจำเป็นต้องใช้ขนาดยามากถึง 300 มก. ต่อวัน การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ความดันเลือด และติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ ได้รับการแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับขนาดยาในปริมาณสูง
- 20 ถึง 30 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อมากถึง 4 ครั้งต่อวัน ผู้ป่วยควรเปลี่ยนไปใช้ยาโดยการรับประทานโดยเร็วที่สุด
ขนาดยาปกติสำหรับผู้ใหญ่สำหรับป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรน
- 10 มก. โดยการรับประทานวันละหนึ่งครั้งก่อนนอน
ขนาดยาปกติสำหรับผู้ใหญ่สำหรับรักษาภาวะซึมเศร้าที่ไม่รุนแรงแต่เรื้อรัง
- ขนาดยาเริ่มต้น: 75 มก. โดยการรับประทานต่อวันในครั้งเดียวหรือแบ่งเป็นหลายครั้ง
- ขนาดยาปกติ: 150 ถึง 300 มก. ต่อวัน โดยการรับประทานในขนาดยาหนึ่งส่วนหรือแบ่งเป็นหลายส่วน ควรเพิ่มขนาดยาทีละน้อย การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ความดันเลือด และอัตราการเต้นของหัวใจ ได้รับการแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับขนาดยาในปริมาณสูง
- 20 ถึง 30 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อมากถึง 4 ครั้งต่อวัน ผู้ป่วยควรเปลี่ยนไปใช้ยาโดยการรับประทานโดยเร็วที่สุด
ขนาดยาปกติสำหรับผู้ใหญ่สำหรับรักษาอาการปวด
- ขนาดยาเริ่มต้น: 75 มก. โดยการรับประทานต่อวันในครั้งเดียวหรือแบ่งเป็นหลายครั้ง
- ขนาดยาปกติ: 150 ถึง 300 มก. ต่อวัน โดยการรับประทานในครั้งเดียวหรือแบ่งเป็นหลายครั้ง ควรเพิ่มขนาดยาทีละน้อย การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ความดันเลือด และติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ ได้รับการแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับขนาดยาในปริมาณสูง
- 20 ถึง 30 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อมากถึง 4 ครั้งต่อวัน ผู้ป่วยควรเปลี่ยนไปใช้ยาโดยการรับประทานโดยเร็วที่สุด
ขนาดยาปกติสำหรับผู้ใหญ่สำหรับรักษาภาวะตึงเครียดหลังเกิดการบาดเจ็บ
- ขนาดยาเริ่มต้น: 75 มก. โดยการรับประทานต่อวันในครั้งเดียวหรือแบ่งเป็นหลายครั้ง
- ขนาดยาปกติ: 150 ถึง 300 มก. ต่อวัน โดยการรับประทานในครั้งเดียวหรือแบ่งเป็นหลายครั้ง ควรเพิ่มขนาดยาทีละน้อย การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ความดันเลือด และติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ ได้รับการแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับขนาดยาในปริมาณสูง
- 20 ถึง 30 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อมากถึง 4 ครั้งต่อวัน ผู้ป่วยควรเปลี่ยนไปใช้ยาโดยการรับประทานโดยเร็วที่สุด
ขนาดยาปกติสำหรับผู้ใหญ่สำหรับรักษากลุ่มโรคทางจิตเวชที่แสดงอาการผิดปกติทางร่างกาย
- ขนาดยาเริ่มต้น: 75 มก. โดยการรับประทานต่อวันในครั้งเดียวหรือแบ่งเป็นหลายครั้ง
- ขนาดยาปกติ: 150 ถึง 300 มก. ต่อวัน โดยการรับประทานในครั้งเดียวหรือแบ่งเป็นหลายครั้ง ควรเพิ่มขนาดยาทีละน้อย การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ความดันเลือด และติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ ได้รับการแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับขนาดยาในปริมาณสูง
- 20 ถึง 30 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อมากถึง 4 ครั้งต่อวัน ผู้ป่วยควรเปลี่ยนไปใช้ยาโดยการรับประทานโดยเร็วที่สุด
ขนาดยาสำหรับเด็ก
ขนาดยาปกติสำหรับเด็กสำหรับรักษาภาวะซึมเศร้า
- อายุ 9 ถึง 12 ปี:
ขนาดยาเริ่มต้น: 1 มก./กก./วัน โดยการรับประทานในขนาดยาแบ่งใช้ 3 ครั้ง
- ขนาดยาปกติ: 1 ถึง 5 มก./กก./วัน ในขนาดยาแบ่งใช้ 3 ครั้ง ควรเพิ่มขนาดยาทีละน้อย การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) อัตราการเต้นของหัวใจ และ ความดันเลือด ได้รับการแนะนำเมื่อขนาดยาสูงกว่า 3 มก./กก./วัน
อายุ 12 ถึง 18 ปี:
- ขนาดยาเริ่มต้น: 25 ถึง 50 มก. โดยการรับประทานต่อวันในครั้งเดียวหรือแบ่งเป็น 3 ถึง 4 ครั้ง
- ขนาดยาปกติ: 20 ถึง 200 มก. ต่อวัน ในขนาดแบ่งใช้หลายครั้ง ควรเพิ่มขนาดยาทีละน้อย ขนาดยา 10 มก. โดยการรับประทาน 3 ครั้งต่อวัน และขนาดยา 20 มก. ก่อนนอน อาจได้ผลการรักษาเป็นที่พึงพอใจในผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาในขนาดที่สูงได้
- 20 ถึง 30 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อมากถึง 4 ครั้งต่อวัน ผู้ป่วยควรเปลี่ยนไปใช้ยาโดยการรับประทานโดยเร็วที่สุด
ขนาดยาปกติสำหรับเด็กสำหรับรักษาอาการปวด
อายุ 1 ถึง 12 ปี:
- ขนาดยาเริ่มต้น: 0.1 มก./กก./วัน โดยการรับประทานก่อนนอน (เป็นขนาดยาที่ใช้ในการวิจัย ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ)
- ขนาดยาปกติ: อาจเพิ่มเท่าที่สามารถทนยาได้นานกว่า 2 ถึง 3 สัปดาห์ จนถึงขนาด 0.5 ถึง 2 มก./กก. ก่อนนอน
อายุ 12 ถึง 18 ปี:
- ขนาดยาเริ่มต้น: 25 มก. สองครั้งต่อวัน
- ขนาดยาปกติ: 50 ถึง 200 มก. ต่อวันในขนาดแบ่งใช้หลายครั้ง ควรเพิ่มขนาดยาทีละน้อย
ขนาดยาปกติสำหรับเด็กสำหรับป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรน
อายุ 6 ถึง 12 ปี:
- 0.25 ถึง 1.5 มก./กก./วัน วันละหนึ่งครั้งก่อนนอน (เป็นขนาดยาที่ใช้ในการวิจัย ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ) ควรเพิ่มขนาดยาทีละน้อย
อายุ 12 ถึง 18 ปี:
- ขนาดยาเริ่มต้น: 25 มก. สองครั้งต่อวัน
- ขนาดยาปกติ: 50 ถึง 200 มก. ต่อวันในขนาดแบ่งใช้หลายครั้ง ควรเพิ่มขนาดยาทีละน้อย
ขนาดยาปกติสำหรับเด็กสำหรับรักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้
- อายุ 2 ถึง 6 ปี: ขนาดยา 10 มก. โดยการรับประทานก่อนนอน ได้ใช้สำหรับอาการปัสสาวะรดที่นอน (เป็นขนาดยาที่ใช้ในการวิจัย ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ)
รูปแบบยา
Amitriptyline มีรูปแบบการใช้และปริมาณตัวยา ดังต่อไปนี้
- ยาเม็ด สำหรับรับประทาน 10 มก., 25 มก., 50 มก., 75 มก., 100 มก., 150 มก.
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
ในกรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ให้โทรแจ้งบริการฉุกเฉิน หรือไปยังห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลใกล้บ้านคุณ
อาการจากการใช้ยาเกินขนาด ได้แก่
- หัวใจเต้นผิดปกติ
- อาการชัก
- ไม่รู้สึกตัว (ไม่รู้สึกตัวเป็นเวลานาน)
- มึนงง
- ไม่มีสมาธิ
- ประสาทหลอน (มองเห็นสิ่งต่างๆ หรือได้ยินเสียงที่ไม่มีจริง)
- กระสับกระส่าย
- ง่วงซึม
- กล้ามเนื้อแข็งตึง
- อาเจียน
- มีไข้
- อุณหภูมิร่างกายต่ำ
กรณีลืมใช้ยา
หากลืมใช้ยาอะมิทริปไทลีน ให้ใช้ยาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ดี หากใกล้เวลาใช้รอบถัดไป ให้ข้ามรอบที่ลืมใช้ไปแล้วใช้ยาในรอบถัดไปตามปกติที่กำหนดไว้ ห้ามใช้เพิ่มเป็นสองเท่า