backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

Prednisolone (เพรดนิโซโลน) ข้อบ่งใช้ และผลข้างเคียง

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย Ploylada Prommate · แก้ไขล่าสุด 28/06/2023

Prednisolone (เพรดนิโซโลน) ข้อบ่งใช้ และผลข้างเคียง

Prednisolone เป็นยาสังเคราะ์ของฮอร์โมน คอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroid hormone) ที่ใช้เพื่อรักษาความผิดปกติต่าง ๆ เช่น ข้ออักเสบ ปัญหาเกี่ยวกับเลือด ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง อย่างไรก็ตาม หากใช้อย่างไม่ถูกต้องอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดข้างเคียงต่าง ๆ เช่น เลือดออกในกระเพาะอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน รวมถึงอาจทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลง ดังนั้น จึงควรศึกษาข้อมูลวิธีการใช้ยา รวมถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นก่อนใช้ยาเสมอ

ข้อบ่งใช้ Prednisolone

เพรดนิโซโลน ใช้สำหรับ

เพรดนิโซโลน (Prednisolone) เป็นสารสังเคราะห์ของสารตามธรรมชาติอย่างฮอร์โมนคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroid hormone) ที่ผลิตในต่อมหมวกไต ยานี้ใช้เพื่อรักษาสภาวะ เช่น ข้ออักเสบ ปัญหาเกี่ยวกับเลือด ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง สภาวะของผิวและดวงตา ปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ โรคมะเร็ง โรคภูมิแพ้ขั้นรุนแรง ยานี้จะลดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อโรคต่าง ๆ เพื่อลดอาการ เช่น อาการปวด อาการบวม และอาการแพ้ เป็นต้น

วิธีการใช้ยา เพรดนิโซโลน

  • รับประทานยาเพรดนิโซโลนพร้อมกับอาหาร เพื่อป้องกันอาการท้องไส้ปั่นป่วน ตามที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด
  • ตวงยาอย่างระมัดระวังด้วยเครื่องมือตวงยาพิเศษ หรือช้อนตวงยา อย่าใช้ช้อนธรรมดา เพราะอาจได้ขนาดยาที่ไม่ถูกต้อง
  • ยาเพรดนิโซโลน นั้นมีหลายยี่ห้อ หลายขนาด และหลายรูปแบบ ควรอ่านแนวทางการใช้ยาสำหรับยาแต่ละชนิดอย่างละเอียด เพราะปริมาณของยาเพรดนิโซโลนอาจจะแตกต่างกัน ตามแต่ผลิตภัณฑ์ อ่านเพิ่มเติมในส่วนของข้อควรระวังและการเก็บรักษา
  • ควรทำข้อแนะนำการใช้ยาอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นขนาดยา และระยะเวลาในการรักษา
  • แพทย์อาจสั่งให้คุณรับประทานยาเพรดนิโซโลนวันละ 1-4 ครั้ง หรือรับประทานหนึ่งครั้งวันเว้นวัน อาจทำเครื่องหมายไว้บนปฏิทินเพื่อช่วยเตือนความจำได้
  • อย่าหยุดใช้ยานี้โดยไม่ปรึกษากับแพทย์ สภาวะบางอย่างอาจแย่ลง หากคุณหยุดใช้ยากะทันหัน
  • หากคุณใช้ยาเพรดนิโซโลน เป็นประจำในระยะเวลานาน หรือใช้ยาในขนาดยาที่สูง คุณอาจจะมีอาการถอนยา หากหยุดใช้ยากะทันหัน เพื่อป้องกันอาการถอนยา เช่น อ่อนแรง น้ำหนักลด คลื่นไส้ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหัว เหนื่อยล้า วิงเวียน เป็นต้น แพทย์อาจค่อย ๆ ลดขนาดยาลง โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม และแจ้งให้ทราบ หากมีอาการถอนยาเกิดขึ้น
  • แจ้งให้แพทย์ทราบ หากอาการของคุณไม่หายไป หรือรุนแรงขึ้น

การเก็บรักษายา เพรดนิโซโลน

  • เพรดนิโซโลน ควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง
  • โปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็ก และสัตว์เลี้ยง
  • ไม่ควรทิ้งยาเพรดนิโซโลน ลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ เว้นเสียแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำ ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้อง เมื่อยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน

เพรดนิโซโลน บางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยา หรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัย

ข้อควรระวังและคำเตือน

ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา เพรดนิโซโลน

  • ก่อนใช้ยา เพรดนิโซโลน แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ หากคุณแพ้ยานี้ หรือยากลุ่มเดียวกันกับเพรดนิโซน รวมถึงกรณีที่คุณมีโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจจะมีสารไม่ออกฤทธิ์ ที่ส่งผลให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่นๆ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
  • ก่อนใช้ยานี้แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะ โรคที่เกี่บวกับดวงตา เช่น โรคต้อกระจก หรือต้อหิน ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ โรคตับ โรคไต ไทรอยด์ โรคเบาหวาน ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารหรือลำไส้  โรคกระดูกพรุน การติดเชื้ออย่างวัณโรค ลิ่มเลือด รวมไปถึงสภาวะทางจิตใตหรืออารมณ์บางอย่าง เป็นต้น
  • เพรดนิโซโลน อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน อย่าขับรถ หรือใช้เครื่องจักร และทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัว จนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย
  • เพรดนิโซโลน อาจทำให้เกิดอาการเลือดออกในกระเพาะอาหาร การดื่มสุราเป็นประจำระหว่างที่ใช้ยานี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการเลือดออกในกระเพาะอาหาร ควรจำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
  • ก่อนการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบ เกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ ทั้งยาตามใบสั่งยา ยาที่หาซื้อเองตามร้านขายยา และสมุนไพรต่าง ๆ
  • ยานี้อาจมีแอลกอฮอล์ น้ำตาล ควรใช้ยาด้วยความระมัดระวัง หากคุณเป็นโรคเบาหวาน ภาวะติดแอลกอฮอล์ (alcohol dependence) โรคตับ โรคฟีนิลคีโตนูเรีย (phenylketonuria) หรือสภาวะอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงสารเหล่านี้ในอาหารของคุณ
  • การใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เป็นเวลานาน สามารถทำให้ร่างกายของคุณตอบสนองต่อความตึงเครียดทางกายภาพได้ยากขึ้น ดังนั้น ก่อนการผ่าตัดหรือรับการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน หรือหากคุณมีอาการป่วย แจ้งให้แพทย์ หรือทันตแพทย์ทราบว่าคุณกำลังใช้ยานี้หรือเคยใช้ยาเหล่านี้ภายใน 12 เดือนที่ผ่านมา แจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหากคุณมีอาการเหนื่อยล้าหรือน้ำหนักลดอย่างรุนแรงหรือผิดปกติ หากคุณต้องใช้ยานี้เป็นเวลานานควรพกบัตรแจ้งหรือหรือกำไรข้อมูลทางการแพทย์ที่บอกว่าคุณกำลังใช้ยานี้
  • ยาเพรดนิโซโลน อาจปกปิดสัญญาณของการติดเชื้อ และอาจทำให้คุณมีโอกาสติดเชื้อได้มากขึ้นดังนั้นจึงควรล้างมือให้ละอาดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการติดต่อผู้มีอาการติดเชื้อที่สามารถแพร่สู่ผู้อื่นได้
  • ยาเพรดนิโซโลน อาจทำให้วัคซีนทำงานได้ไม่ดีนัก ดังนั้น จึงไม่ควรสร้างภูมิคุ้มกัน หรือรับวัคซีนโดยไม่ปรึกษากับแพทย์
  • ยานี้อาจชะลอการเจริญเติบโตของเด็กหากใช้เป็นเวลานาน โปรดแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ควรไปหาแพทย์เป็นประจำเพื่อทำการตรวจสอบส่วนสูง และความเจริญเติบโตของลูกคุณ
  • ผู้สูงอายุอาจจะมีปฏิกิริยาไวต่อผลของยานี้ได้มากกว่า โดยเฉพาะอาการเลือดออกในกระเพาะอาหาร
  • ช่วงขณะตั้งครรภ์ ควรใช้ยาเพรดนิโซโลน เมื่อจำเป็นเท่านั้น ในกรณีหายาก ยานี้อาจทำให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ ทำให้ทารกที่เกิดจากแม่ที่ใช้ยานี้เป็นเวลานานอาจมีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน แจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากคุณสังเกตเห็นอาการของทารก เช่น คลื่นไส้อาเจียนบ่อย ๆ ท้องร่วงอย่างรุนแรง หรืออาการอ่อนแรง เป็นต้น

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ Prednisolone ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงที่อาจพบบ่อยจากยาเพรดนิโซโลน

  • อาจเกิดอาการคลื่นไส้ แสบร้อนกลางอก ปวดหัว วิงเวียน รอบการมีประจำเดือนเปลี่ยน นอนไม่หลับ เหงื่อออกมากขึ้น หรือเป็นสิว หากผลข้างเคียงใด ๆ เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบโดยทันที
  • โปรดจำไว้ว่า การที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากคำนวณแล้วว่า ยามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใด ๆ
  • เนื่องจากยาเพรดนิโซโลน ทำงานโดยการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแรงลง ทำให้อาจลดความสามารถในการต่อสู้กับการติดเชื้อได้ และอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่รุนแรงถึงแก่ชีวิต โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากคุณมีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น อาการไอ เจ็บคอ เป็นไข้ หนาวสั่น
  • การใช้ยานี้เป็นเวลานาน หรือใช้เป็นรอยช้ำ ๆ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อราในช่องปาก หรือการติดเชื้อยีสต์ ติดต่อแพทย์ หากคุณสังเกตเห็นรอยสีขาวภายในปาก หรือมีความเปลี่ยนแปลงของสารคัดหลั่งจากช่องคลอด
  • ในกรณีหายาก ยานี้อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณเพิ่มสูงขึ้น หรือทำให้โรคเบาหวานรุนแรงขึ้น แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากคุณสังเกตเห็นอาการของระดับน้ำตาลในเลือดสูง เช่น กระหายน้ำมากขึ้นหรือปัสสาวะมากขึ้น หากคุณเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว ควรทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำตามที่กำหนด และแจ้งผลให้แพทย์ทราบ เพื่อให้แพทย์ปรับขนาดยาเหมาะสมสำหรับโรคเบาหวาน พร้อมวางโปรแกรมการออกกำลังกาย และอาหารที่รับประทาน

แจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นแต่รุนแรงดังต่อไปนี้

  • เหนื่อยล้าผิดปกติ
  • มีอาการบวมที่ข้อเท้าหรือเท้า
  • น้ำหนักเพิ่มขึ้นผิดปกติ
  • มีปัญหากับการมองเห็น
  • มีรอยช้ำ หรือเลือดออกง่าย
  • หน้า ลิ้น ลำคอบวม
  • มีขนขึ้นผิดปกติ
  • มีความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ หรืออารมณ์ เช่น ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดกระดูก หรือปวดกล้ามเนื้อ
  • ผิวบางลง แผลหายได้ช้า
  • ปวดหน้าอก มีอาการชัก

ไม่ใช่ทุกคนที่จะแสดงอาการอันเนื่องมาจากผลข้างเคียงเหล่านี้ อาจมีผลข้างเคียงอื่นที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากคุณมีความกังวลเรื่องผลข้างเคียง โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาอื่น

Prednisolone อาจมีปฏิกิริยากับยานี้ ได้แก่

  • อัลเดสลูคิน (aldesleukin)
  • อะซาไธโอพรีน (azathioprine)
  • ไซโคลสปอริน (cyclosporine)
  • เคมีบำบัดสำหรับโรคมะเร็ง (cancer chemotherapy)
  • มิฟีพริสโตน (Mifepristone)
  • ยาที่สามารถทำให้เกิดอาการเลือดออก หรือรอยช้ำ
  • ยาต้านเกล็ดเลือด (antiplatelet drugs)
  • โคลพิโดเกรล (clopidogrel)
  • ยาเจือจางเลือด เช่น ดาบิกาแทรน (dabigatran) และวาร์ฟาริน (warfarin)
  • ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น แอสไพริน เซเลโคซิบ (celecoxib) หรือไอบูโพรเฟน (ibuprofen)
  • เอสโตรเจน (Estrogen)
  • ยาต้านไวรัสกลุ่มเอโซล (azole antifungals) เช่น ไอทราโคนาโซล (itraconazole)
  • ยาไรฟามัยซิน (rifamycins)
  • สมุนไพรเซนต์จอห์น (St. John’s wort)
  • ยารักษาอาการชัก เช่น เฟนิโทอิน (phenytoin) และอื่น ๆ

ยานี้อาจส่งผลกระทบต่อผลการตรวจในห้องทดลองบางอย่าง (เช่นการทดสอบผิวหนัง) ควรแจ้งให้บุคลากรในห้องทดลองและแพทย์ทั้งหมดทราบว่าคุณกำลังใช้ยานี้

ยา เพรดนิโซโลน อาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่าคุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เองตามร้านขายยา และสมุนไพรต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาโดยไม่ได้การอนุญาตจากแพทย์

ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์

ยาเพรดนิโซโลน อาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น

ยาเพรดนิโซโลนอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ

ขนาดยา Prednisolone

ข้อมูลนี้ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์โดยตรง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรของคุณก่อนที่จะใช้เพรดนิโซโลน

ขนาดยา เพรดนิโซโลน สำหรับผู้ใหญ่

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคปลอกประสาทอักเสบ (Multiple Sclerosis)

ขนาดยาเริ่มต้น : 200 มก. รับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 1 สัปดาห์ แล้วตามด้วย 80 มก. รับประทานวันเว้นวันเป็นเวลา 1 เดือน

คำแนะนำ

  • คอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้นจะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุดเมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • การทดลองทางการแพทย์ที่มีการควบคุมนั้นได้แสดงให้เห็นว่ายาคอร์ติโคสเตียรอยด์นั้นมีประสิทธิภาพในการเพิ่มความเร็วต่อการยับยั้งโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งที่กำเริบอย่างฉับพลัน แม้ว่าจะยังไม่แสดงให้เห็นถึงการส่งผลกระทบต่ออุบัติการตามธรรมชาติของโรค

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาอาการแพ้

ขนาดยาควรแตกต่างกันตามแต่ละบุคคลโดยขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วย

  • ขนาดยาเริ่มต้น : รับประทาน 5-60 มก. ต่อวัน อาจรับประทานหนึ่งครั้งหรือแบ่งรับประทาน
  • ขนาดยาปกติ : ปรับขนาดยาหรือรักษาระดับของยาในขนาดเริ่มต้นจนกว่าจะได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ แล้วค่อย ๆ ลดขนาดยาในปริมาณเล็กน้อย โดยเว้นช่วงอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ขนาดยาต่ำที่สุดที่สามารถรักษาระดับของการตอบสนองที่เพียงพอได้

คำแนะนำ

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้น จะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุด เมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • อาจใช้วิธีการให้ยาแบบวันเว้นวันสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องกลับมาใช้ขนาดยากดอาการอย่างเต็มที่เมื่อมีการปะทุของอาการอย่างกะทันหัน

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด (Ankylosing Spondylitis)

ขนาดยาควรแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล โดยขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วย

  • ขนาดยาเริ่มต้น : รับประทาน 5-60 มก. ต่อวัน อาจรับประทานหนึ่งครั้งหรือแบ่งรับประทาน
  • ขนาดยาปกติ : ปรับขนาดยาหรือรักษาระดับของยาในขนาดเริ่มต้นจนกว่าจะได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ แล้วค่อย ๆ ลดขนาดยาในปริมาณเล็กน้อยโดยเว้นช่วงอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ขนาดยาต่ำที่สุดที่สามารถรักษาระดับของการตอบสนองที่เพียงพอได้

คำแนะนำ

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้นจะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุดเมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • อาจใช้วิธีการให้ยาแบบวันเว้นวันสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องกลับมาใช้ขนาดยากดอาการอย่างเต็มที่เมื่อมีการปะทุของอาการอย่างกะทันหัน

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคปอดบวมจากการสำลัก (Aspiration Pneumonia)

ขนาดยาควรแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล โดยขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วย

  • ขนาดยาเริ่มต้น : รับประทาน 5-60 มก. ต่อวัน อาจรับประทานหนึ่งครั้งหรือแบ่งรับประทาน
  • ขนาดยาปกติ : ปรับขนาดยาหรือรักษาระดับของยาในขนาดเริ่มต้นจนกว่าจะได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ แล้วค่อยๆ ลดขนาดยาในปริมาณเล็กน้อยโดยเว้นช่วงอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ขนาดยาต่ำที่สุดที่สามารถรักษาระดับของการตอบสนองที่เพียงพอได้

คำแนะนำ

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้น จะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุด เมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • อาจใช้วิธีการให้ยาแบบวันเว้นวันสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องกลับมาใช้ขนาดยากดอาการอย่างเต็มที่เมื่อมีการปะทุของอาการอย่างกะทันหัน

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคเบอร์ไซติส (Bursitis)

ขนาดยาควรแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล โดยขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วย

  • ขนาดยาเริ่มต้น : รับประทาน 5-60 มก. ต่อวัน อาจรับประทานหนึ่งครั้งหรือแบ่งรับประทาน
  • ขนาดยาปกติ : ปรับขนาดยาหรือรักษาระดับของยาในขนาดเริ่มต้นจนกว่าจะได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ แล้วค่อยๆ ลดขนาดยาในปริมาณเล็กน้อยโดยเว้นช่วงอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ขนาดยาต่ำที่สุดที่สามารถรักษาระดับของการตอบสนองที่เพียงพอได้

คำแนะนำ

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้น จะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุด เมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • อาจใช้วิธีการให้ยาแบบวันเว้นวันสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องกลับมาใช้ขนาดยากดอาการอย่างเต็มที่เมื่อมีการกำเริบของอาการอย่างกะทันหัน

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากการแพ้กลูเตน (Dermatitis Herpetiformis)

ขนาดยาควรแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล โดยขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วย

  • ขนาดยาเริ่มต้น : รับประทาน 5-60 มก. ต่อวัน อาจรับประทานหนึ่งครั้งหรือแบ่งรับประทาน
  • ขนาดยาปกติ : ปรับขนาดยาหรือรักษาระดับของยาในขนาดเริ่มต้นจนกว่าจะได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ แล้วค่อยๆ ลดขนาดยาในปริมาณเล็กน้อยโดยเว้นช่วงอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ขนาดยาต่ำที่สุดที่สามารถรักษาระดับของการตอบสนองที่เพียงพอได้

คำแนะนำ

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้นจะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุดเมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • อาจใช้วิธีการให้ยาแบบวันเว้นวันสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องกลับมาใช้ขนาดยากดอาการอย่างเต็มที่เมื่อมีการปะทุของอาการอย่างกะทันหัน

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะแคลเซียมในเลือดสูงจากเนื้อร้าย (Hypercalcemia of Malignancy)

ขนาดยาควรแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล โดยขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วย:

  • ขนาดยาเริ่มต้น : รับประทาน 5-60 มก. ต่อวัน อาจรับประทานหนึ่งครั้งหรือแบ่งรับประทาน
  • ขนาดยาปกติ : ปรับขนาดยาหรือรักษาระดับของยาในขนาดเริ่มต้นจนกว่าจะได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ แล้วค่อยๆ ลดขนาดยาในปริมาณเล็กน้อยโดยเว้นช่วงอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ขนาดยาต่ำที่สุดที่สามารถรักษาระดับของการตอบสนองที่เพียงพอได้

คำแนะนำ

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้นจะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุดเมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • อาจใช้วิธีการให้ยาแบบวันเว้นวันสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องกลับมาใช้ขนาดยากดอาการอย่างเต็มที่เมื่อมีการปะทุของอาการอย่างกะทันหัน

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะเลือดออกง่ายจากเกล็ดเลือดต่ำชนิดไม่ทราบสาเหตุ (ภูมิคุ้มกัน) (Idiopathic (Immune) Thrombocytopenic Purpura)

ขนาดยาควรแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล โดยขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วย

  • ขนาดยาเริ่มต้น : รับประทาน 5-60 มก. ต่อวัน อาจรับประทานหนึ่งครั้งหรือแบ่งรับประทาน
  • ขนาดยาปกติ : ปรับขนาดยาหรือรักษาระดับของยาในขนาดเริ่มต้นจนกว่าจะได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ แล้วค่อยๆ ลดขนาดยาในปริมาณเล็กน้อยโดยเว้นช่วงอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ขนาดยาต่ำที่สุดที่สามารถรักษาระดับของการตอบสนองที่เพียงพอได้

คำแนะนำ

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้นจะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุดเมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • อาจใช้วิธีการให้ยาแบบวันเว้นวันสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องกลับมาใช้ขนาดยากดอาการอย่างเต็มที่เมื่อมีการปะทุของอาการอย่างกะทันหัน

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษากลุ่มอาการโลฟเฟลอร์ (Loeffler’s Syndrome)

ขนาดยาควรแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล โดยขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วย

  • ขนาดยาเริ่มต้น : รับประทาน 5-60 มก. ต่อวัน อาจรับประทานหนึ่งครั้งหรือแบ่งรับประทาน
  • ขนาดยาปกติ : ปรับขนาดยาหรือรักษาระดับของยาในขนาดเริ่มต้นจนกว่าจะได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ แล้วค่อยๆ ลดขนาดยาในปริมาณเล็กน้อย โดยเว้นช่วงอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ขนาดยาต่ำที่สุดที่สามารถรักษาระดับของการตอบสนองที่เพียงพอได้

คำแนะนำ

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้น จะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุดเมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • อาจใช้วิธีการให้ยาแบบวันเว้นวัน สำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องกลับมาใช้ขนาดยากดอาการอย่างเต็มที่ เมื่อมีการปะทุของอาการอย่างกะทันหัน

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis)

ขนาดยาควรแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล โดยขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วย

  • ขนาดยาเริ่มต้น : รับประทาน 5-60 มก. ต่อวัน อาจรับประทานหนึ่งครั้งหรือแบ่งรับประทาน
  • ขนาดยาปกติ : ปรับขนาดยาหรือรักษาระดับของยาในขนาดเริ่มต้นจนกว่าจะได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ แล้วค่อยๆ ลดขนาดยาในปริมาณเล็กน้อยโดยเว้นช่วงอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ขนาดยาต่ำที่สุดที่สามารถรักษาระดับของการตอบสนองที่เพียงพอได้

คำแนะนำ

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้นจะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุดเมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • อาจใช้วิธีการให้ยาแบบวันเว้นวันสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องกลับมาใช้ขนาดยากดอาการอย่างเต็มที่เมื่อมีการปะทุของอาการอย่างกะทันหัน

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคกล้ามเนื้ออักเสบ (Polymyositis) / โรคกล้ามเนื้อและผิวหนังอักเสบ (Dermatomyositis)

ขนาดยาควรแตกต่างกันตามแต่ละบุคคลโดยขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วย

  • ขนาดยาเริ่มต้น : รับประทาน 5-60 มก. ต่อวัน อาจรับประทานหนึ่งครั้งหรือแบ่งรับประทาน
  • ขนาดยาปกติ : ปรับขนาดยาหรือรักษาระดับของยาในขนาดเริ่มต้นจนกว่าจะได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ แล้วค่อยๆ ลดขนาดยาในปริมาณเล็กน้อยโดยเว้นช่วงอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ขนาดยาต่ำที่สุดที่สามารถรักษาระดับของการตอบสนองที่เพียงพอได้

คำแนะนำ

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้นจะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุดเมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • อาจใช้วิธีการให้ยาแบบวันเว้นวันสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องกลับมาใช้ขนาดยากดอาการอย่างเต็มที่เมื่อมีการปะทุของอาการอย่างกะทันหัน

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)

ขนาดยาควรแตกต่างกันตามแต่ละบุคคลโดยขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วย

  • ขนาดยาเริ่มต้น : รับประทาน 5-60 มก. ต่อวัน อาจรับประทานหนึ่งครั้งหรือแบ่งรับประทาน
  • ขนาดยาปกติ : ปรับขนาดยาหรือรักษาระดับของยาในขนาดเริ่มต้นจนกว่าจะได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ แล้วค่อยๆ ลดขนาดยาในปริมาณเล็กน้อยโดยเว้นช่วงอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ขนาดยาต่ำที่สุดที่สามารถรักษาระดับของการตอบสนองที่เพียงพอได้

คำแนะนำ

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้น จะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุด เมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • อาจใช้วิธีการให้ยาแบบวันเว้นวัน สำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องกลับมาใช้ขนาดยากดอาการอย่างเต็มที่ เมื่อมีการปะทุของอาการอย่างกะทันหัน

หากคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวการใช้ยานี้ในการรักษาที่เกี่ยวข้องกับภาวะสุขภาพอื่น ๆ เพิ่มเติม สามารถเข้าขอรับคำปรึกษาจากแพทย์ได้อีกครั้ง เพื่อรับขนาดยาที่ถูกต้องเหมาะสม

ขนาดยา เพรดนิโซโลน สำหรับเด็ก

ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาอาการแพ้

ขนาดยาควรแตกต่างกันตามแต่ละบุคคลโดยขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วยโดยไม่ค่อยเน้นในการยึดมั่นในอายุหรือน้ำหนักตัวอย่างเคร่งครัด

  • ขนาดยาเริ่มต้น : รับประทาน 0.14-2 มก./กก./วัน หรือ 4-60 มก./ตารางเมตร/วัน หรือ 5-60 มก. อาจรับประทานหนึ่งครั้งหรือแบ่งรับประทาน 2-4 ครั้งต่อวัน
  • ขนาดยาปกติ : ปรับขนาดยาหรือรักษาระดับของยาในขนาดเริ่มต้นจนกว่าจะได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ แล้วค่อย ๆ ลดขนาดยาในปริมาณเล็กน้อยโดยเว้นช่วงอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ขนาดยาต่ำที่สุดที่สามารถรักษาระดับของการตอบสนองที่เพียงพอได้

คำแนะนำ

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้นจะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุดเมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • อาจใช้วิธีการให้ยาแบบวันเว้นวันสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องกลับมาใช้ขนาดยากดอาการอย่างเต็มที่เมื่อมีการปะทุของอาการอย่างกะทันหัน

ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคปอดบวมจากการสำลัก (Aspiration Pneumonia)

ขนาดยาควรแตกต่างกันตามแต่ละบุคคลโดยขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วยโดยไม่ค่อยเน้นในการยึดมั่นในอายุหรือน้ำหนักตัวอย่างเคร่งครัด

  • ขนาดยาเริ่มต้น : รับประทาน 0.14-2 มก./กก./วัน หรือ 4-60 มก./ตารางเมตร/วัน หรือ 5-60 มก. อาจรับประทานหนึ่งครั้งหรือแบ่งรับประทาน 2-4 ครั้งต่อวัน
  • ขนาดยาปกติ : ปรับขนาดยาหรือรักษาระดับของยาในขนาดเริ่มต้นจนกว่าจะได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ แล้วค่อย ๆ ลดขนาดยาในปริมาณเล็กน้อยโดยเว้นช่วงอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ขนาดยาต่ำที่สุดที่สามารถรักษาระดับของการตอบสนองที่เพียงพอได้

คำแนะนำ

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้นจะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุดเมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • อาจใช้วิธีการให้ยาแบบวันเว้นวันสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องกลับมาใช้ขนาดยากดอาการอย่างเต็มที่เมื่อมีการปะทุของอาการอย่างกะทันหัน

ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคเบอร์ไซติส (Bursitis)

ขนาดยาควรแตกต่างกันตามแต่ละบุคคลโดยขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วยโดยไม่ค่อยเน้นในการยึดมั่นในอายุหรือน้ำหนักตัวอย่างเคร่งครัด

  • ขนาดยาเริ่มต้น : รับประทาน 0.14-2 มก./กก./วัน หรือ 4-60 มก./ตารางเมตร/วัน หรือ 5-60 มก. อาจรับประทานหนึ่งครั้งหรือแบ่งรับประทาน 2-4 ครั้งต่อวัน
  • ขนาดยาปกติ : ปรับขนาดยาหรือรักษาระดับของยาในขนาดเริ่มต้นจนกว่าจะได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ แล้วค่อยๆ ลดขนาดยาในปริมาณเล็กน้อยโดยเว้นช่วงอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ขนาดยาต่ำที่สุดที่สามารถรักษาระดับของการตอบสนองที่เพียงพอได้

คำแนะนำ

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้นจะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุดเมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • อาจใช้วิธีการให้ยาแบบวันเว้นวันสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องกลับมาใช้ขนาดยากดอาการอย่างเต็มที่เมื่อมีการปะทุของอาการอย่างกะทันหัน

ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากการแพ้กลูเตน (Dermatitis Herpetiformis)

ขนาดยาควรแตกต่างกันตามแต่ละบุคคลโดยขึ้นอยู่กับโรคและการตอบสนองของผู้ป่วยโดยไม่ค่อยเน้นในการยึดมั่นในอายุหรือน้ำหนักตัวอย่างเคร่งครัด

  • ขนาดยาเริ่มต้น: รับประทาน 0.14-2 มก./กก./วัน หรือ 4-60 มก./ตารางเมตร/วัน หรือ 5-60 มก. อาจรับประทานหนึ่งครั้งหรือแบ่งรับประทาน 2-4 ครั้งต่อวัน
  • ขนาดยาปกติ: ปรับขนาดยาหรือรักษาระดับของยาในขนาดเริ่มต้นจนกว่าจะได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ แล้วค่อยๆ ลดขนาดยาในปริมาณเล็กน้อยโดยเว้นช่วงอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ขนาดยาต่ำที่สุดที่สามารถรักษาระดับของการตอบสนองที่เพียงพอได้

คำแนะนำ 

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จากภายนอกนั้นจะกดการทำงานของต่อมหมวกไตน้อยที่สุดเมื่อให้ยาในช่วงเวลาที่มีการทำงานสูงสุด ควรพิจารณาเวลาในการทำงานของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) สูงสุด (ตี 2 ถึง 8 โมงเช้า เมื่อจะให้ยา)
  • อาจใช้วิธีการให้ยาแบบวันเว้นวันสำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน อาจจำเป็นต้องกลับมาใช้ขนาดยากดอาการอย่างเต็มที่เมื่อมีการปะทุของอาการอย่างกะทันหัน

หากคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวการใช้ยานี้ในการรักษาที่เกี่ยวข้องกับภาวะสุขภาพอื่น ๆ .ในเด็ก เพิ่มเติม สามารถเข้าขอรับคำปรึกษาจากแพทย์ได้อีกครั้ง เพื่อรับขนาดยาที่ถูกต้องเหมาะสม

รูปแบบของยา

ความแรงและรูปแบบของยามี ดังนี้

  • ยาแขวนตะกอนสำหรับฉีด
  • สารละลายสำหรับฉีด
  • ยาน้ำเชื่อมสำหรับรับประทาน
  • ยาเม็ดสำหรับรับประทาน
  • ยาน้ำสำหรับรับประทาน
  • ยาเม็ดสำหรับรับประทานแบบแตกตัว
  • ยาผงผสม
  • ยาแขวนตะกอนสำหรับรับประทาน

กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด

หากเกิดเหตุฉุกเฉิน หรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งโรงพยาบาลใกล้บ้านโดยทันที

กรณีลืมใช้ยา

หากคุณลืมรับประทานยาควรรีบรับประทานทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลารับประทานยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปรับประทานยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย Ploylada Prommate · แก้ไขล่าสุด 28/06/2023

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา