ข้อบ่งใช้
ยา เฟนิโทอิน ใช้สำหรับ
ยา เฟนิโทอิน (Phenytoin) ใช้เพื่อรักษาและควบคุมอาการชัก (นอกจากนี้ยังเรียกว่ายาต้านชัก หรือยารักษาอาการชัก) ทำงานโดยการลดการแพร่กระจายของอาการชักภายในสมอง
การใช้งานในด้านอื่น ในส่วนนี้จะมีวิธีการใช้ยาที่ไม่ได้อยู่บนฉลากยาที่ได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญ แต่อาจได้รับการสั่งยาจากผู้ดูแลสุขภาพของคุณ หากผู้ดูแลสุขภาพของคุณสั่งยานี้ควรใช้ยานี้กับสภาวะที่อยู่ในรายชื่อนี้เท่านั้น
ยานี้ยังอาจใช้เพื่อรักษาอัตราการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติประเภทหนึ่ง
วิธีการใช้ยา เฟนิโทอิน
อ่านคู่มือการใช้ยาที่เภสัชกรให้มาก่อนเริ่มใช้ยา เฟนิโทอิน และทุกครั้งที่คุณไปรับยาเพิ่ม หากคุณมีข้อสงสัยโปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
สามารถเคี้ยวยาเม็ดจนละเอียด แล้วจึงค่อยกลืนหรือกลืนยาทั้งเม็ดโดยไม่ต้องเคี้ยว
รับประทานยานี้โดยปกติวันละ 2 หรือ 3 ครั้งต่อวัน หรือตามที่แพทย์กำหนด อาจรับประทานพร้อมกับอาหาร หากเกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วน รับประทานยาพร้อมกับน้ำเต็มแก้ว (8 ออนซ์หรือ 240 มล.) นอกเสียจากแพทย์จะสั่งแบบอื่น
ใช้ยานี้เป็นประจำเพื่อให้ได้ประโยชน์จากยาสูงสุด ควรรับประทานยาทั้งหมดให้ตรงตามเวลาเพื่อให้ยาในร่างกายอยู่ในระดับที่คงที่ ควรใช้ยาในเวลาเดียวกันกับทุกวัน ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์และการตอบสนองต่อการรักษา
ยาที่มีส่วนประกอบของแคลเซียม เช่น ยาลดกรดหรืออาหารเสริมแคลเซียม และผลิตภัณฑ์สำหรับให้อาหารผ่านทางสาย (enteral) อาจลดการดูดซึมของยาเฟนิโทอิน อย่าใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้พร้อมกับใช้ยาเฟนิโทอิน ควรแยกรับประทานสารอาหารในรูปแบบของเหลว 1 ชั่วโมงก่อนและ 1 ชั่วโมง หลังจากใช้ยา เฟนิโทอิน หรือตามที่แพทย์กำหนด
อย่าหยุดใช้ยานี้โดยไม่ปรึกษากับแพทย์ อาการชักอาจมีอาการรุนแรงขึ้น หากหยุดใช้ยานี้อย่างกะทันหัน คุณอาจจำเป็นต้องค่อยๆ ลดขนาดยา และแจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการของคุณไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง
การเก็บรักษายา เฟนิโทอิน
ยาเฟนิโทอินควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาเฟนิโทอินบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัย โปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่ควรทิ้งยาเฟนิโทอินลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ เว้นเสียแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำ ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โปรดสอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาเฟนิโทอิน
ระหว่างที่กำลังพิจารณาเลือกใช้ยา แพทย์จะพิจารณาความเสี่ยงของการใช้ยาต่อประโยชน์ของยาเสียก่อน สำหรับยานี้ควรพิจารณาดังต่อไปนี้
แจ้งให้แพทย์ทราบ หากคุณเคยมีอาการที่ผิดปกติหรืออาการแพ้ต่อยานี้ นอกจากนี้ยังควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้อื่นๆ ที่คุณเป็น เช่น แพ้อาหาร สีย้อม สารกันบูด หรือสัตว์ สำหรับยาที่หาซื้อเอง ควรอ่านฉลากยาหรือส่วนประกอบของยาอย่างละเอียด
เด็ก
ยังไม่มีงานวิจัยที่เหมาะสมในปัจจุบัน ที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาเกี่ยวกับเด็ก โดยเฉพาะที่อาจจำจำกัดประสิทธิภาพในการใช้ยาฉีดเฟนิโทอินในผู้ป่วยเด็ก
ผู้สูงอายุ
ยังไม่มีงานวิจัยที่เหมาะสมในปัจจุบัน ที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาเกี่ยวกับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ที่อาจจำกัดประสิทธิภาพในการใช้ยาฉีดเฟนิโทอินในผู้ป่วยสูงอายุ แต่ผู้ป่วยสูงอายุอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับตับ ไต หรือหัวใจที่เกี่ยวข้องกับอายุ และอาจจำเป็นต้องมีการปรับขนาดของยาฉีดเฟนิโทอิน
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยในผู้หญิงที่เพียงพอที่จะบ่งชี้ความเสี่ยงของการใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษากับแพทย์เพื่อพิจารณาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยา
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยา
รับการรักษาในทันทีหากคุณมีสัญญาณของอาการแพ้ ได้แก่ ลมพิษ หายใจติดขัด บวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ คุณอาจมีโอกาสที่จะเกิดอาการแพ้มากกว่าหากคุณมีเชื้อชาติแอฟริกา-อเมริกา
แจ้งให้แพทย์ทราบ หากมีอาการใหม่เกิดขึ้นหรืออาการแย่ลง เช่น มีความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์หรือพฤติกรรม ซึมเศร้า วิตกกังวล หรือรู้สึกร้อนรน ไม่เป็นมิตร กระสับกระส่าย สมาธิสั้น (ทางจิตใจหรือร่างกาย) หรือมีความคิดอยากฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเอง
ติดต่อแพทย์ในทันทีหากมีผลข้างเคียงที่รุนแรงดังต่อไปนี้
- เป็นไข้ ต่อมมีอาการบวม ปวดร่างกาย มีอาการของไข้หวัดใหญ่
- ผดผื่นผิวหนัง มีรอยช้ำหรือเลือดออกง่าย เป็นเหน็บอย่างรุนแรง ชา ปวด กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- มีอาการปวดที่กระเพาะส่วนบน เบื่ออาหาร ปัสสาวะสีเข้ม ดีซ่าน (ผิวหรือดวงตาเป็นสีเหลือง)
- ปวดหน้าอก หัวใจเต้นผิดปกติ รู้สึกหายใจไม่อิ่ม
- สับสน คลื่นไส้อาเจียน บวม น้ำหนักเพิ่มอย่างรวดเร็ว ปัสสาวะน้อยกว่าปกติหรือไม่ปัสสาวะเลย
- มีอาการไอพร้อมกับไข้ครั้งใหม่หรืออาการแย่ลง หายใจติดขัด
- สั่นเทา (อาการสั่นที่ควบคุมไม่ได้) มีอาการเคลื่อนไหว ไม่อยู่ภายในดวงตา ลิ้น หรือคอ
- สีผิวมีจุดสีแดง เป็นหย่อมๆ หรือมีผดผื่นผิวหนังรูปสีเสื้อที่บริเวณแก้มหรือจมูก (อาการหนักขึ้นเมื่อโดนแสงแดด)
- ปฏิกิริยาผิวหนังที่รุนแรง เป็นไข้ เจ็บคอ มีอาการบวมที่ใบหน้าหรือลิ้น แสบร้อนที่ดวงตา ปวดผิว ตามด้วยผดผื่นผิวหนังสีแดงหรือสีม่วงที่แพร่กระจาย (โดยเฉพาะใบหน้าหรือร่างกายส่วนบน) และทำให้เกิดแผลพุพองและผิวลอก
ผลข้างเคียงที่รุนแรงน้อยกว่ามีดังนี้
- พูดไม่ชัด สูญเสียการทรงตัวหรือการเคลื่อนไหวที่สอดประสาน
- เหงือกมีอาการบวมหรือกดเจ็บ
- ปวดหัว วิงเวียน กังวลใจ หรือนอนไม่หลับ (insomnia)
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้ และอาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้กับยาดังต่อไปนี้ แพทย์อาจจะตัดสินใจไม่ใช้ยาในกลุ่มนี้เพื่อรักษาคุณ หรือเปลี่ยนยาบางตัวที่คุณกำลังใช้อยู่
- แอมมิแฟมไพรดีน (Amifampridine)
- อาร์เทเมเทอร์ (Artemether)
- อะทาซานาเวียร์ (Atazanavir)
- โบเซเพรเวียร์ (Boceprevir)
- ดาคลาทาสเวียร์ (Daclatasvir)
- เดเลมานิด (Delamanid)
- เดลาเวียร์ดีน (Delavirdine)
- ลูราซิโดน (Lurasidone)
- มาราเวียร์ออค (Maraviroc)
- ไพเพราควีน (Piperaquine)
- พราซิควอนเทล (Praziquantel)
- ราโนลาซีน (Ranolazine)
- ริลพิเวียร์รีน (Rilpivirine)
- เทลาเพรเวียร์ (Telaprevir)
โดยปกติแล้วไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้กับยาดังต่อไปนี้ แต่อาจจำเป็นในบางกรณี หากคุณได้รับใบสั่งยาทั้งคู่ร่วมกัน แพทย์อาจจะต้องเปลี่ยนขนาดยาหรือความถี่ในการใช้ยาตัวหนึ่งหรือทั้งคู่
- อะบิราเทอโรน แอซิเตต (Abiraterone Acetate)
- อะฟาทินิบ (Afatinib)
- อะพาโซล (Apazone)
- อะไพซาแบน (Apixaban)
- อะพรีมิลาส (Apremilast)
- อะริพิพราโซล (Aripiprazole)
- อะซิทินิบ (Axitinib)
- เบคบาไมด์ (Beclamide)
- เบดาควิลีน (Bedaquiline)
- บอร์เทโซมิบ (Bortezomib)
- โบซูทินิบ (Bosutinib)
- บูโพรพิออน (Bupropion)
- คาบาไซทาเซล (Cabazitaxel)
- คาโบซานทินิบ (Cabozantinib)
- คานากลิโฟลซิน (Canagliflozin)
- คาร์บามาเซพีน (Carbamazepine)
- เซริทินิบ (Ceritinib)
- คลาริโทรมัยซิน (Clarithromycin)
- โคลซาปีน (Clozapine)
- โคบิซิสแตท (Cobicistat)
- ไครโซทินิบ (Crizotinib)
- ไซโคลฟอสฟาไมด์ (Cyclophosphamide)
- ดาบิกาแทรน อีเทซิเลต (Dabigatran Etexilate)
- ดาบราเฟนิบ (Dabrafenib)
- ดาซาทินิบ (Dasatinib)
- ไดอาเซแพม (Diazepam)
- ไดอาโซไซด์ (Diazoxide)
- โดรูเทการ์เวียร์ (Dolutegravir)
- โดพามีน (Dopamine)
- ด็อกโซรูบิซิน (Doxorubicin)
- ด็อกโซรูบิซิน ไฮโดรคลอไรด์ ไลโปโซม (Doxorubicin Hydrochloride Liposome)
- โดรเนดาโรน (Dronedarone)
- เอลิสลูสแตท (Eliglustat)
- เออวิทิกราเวียร์ (Elvitegravir)
- เอนซาลูตาไมด์ (Enzalutamide)
- เออร์โลทินิบ (Erlotinib)
- เอสลิคาร์เบเซพีนแอซิเตต (Eslicarbazepine Acetate)
- เอทโธซักซิไมด์ (Ethosuximide)
- อีทราไวรีน (Etravirine)
- เอเวอโรลิมัส (Everolimus)
- เอ็กซ์เซเมสเทน (Exemestane)
- เอโซกาบีน (Ezogabine)
- เฟนทานิล (Fentanyl)
- ฟลูวาสแตติน (Fluvastatin)
- ฮาโลเทน (Halothane)
- ไฮโดรโคโดน (Hydrocodone)
- ไอบรูทินิบ (Ibrutinib)
- ไอเดลาลิซิบ (Idelalisib)
- ไอฟอสฟาไมด์ (ifosfamide)
- อิมมาตินิบ (Imatinib)
- อินฟลิซิแมบ (Infliximab)
- ไอริโนทีแคน (Irinotecan)
- ไอทราโคนาโซล (Itraconazole)
- ไอวาบราดีน (Ivabradine)
- ไอวาคาฟทอร์ (Ivacaftor)
- ไอซาเบไพโลน (Ixabepilone)
- เคโตโคนาโซล (Ketoconazole)
- คีโตโรแลค (Ketorolac)
- ลาพาทินิบ (Lapatinib)
- เลดิพาสเวียร์ (Ledipasvir)
- ลิโดเคน (Lidocaine)
- ไลนากลิปติน (Linagliptin)
- โลปินาเวียร์ (Lopinavir)
- เมซิเทนแทน (Macitentan)
- เมโธเทรกเซท (Methotrexate)
- ไมโคนาโซล (Miconazole)
- มิฟีพริสโตน (Mifepristone)
- เนทูพิแทน (Netupitant)
- ไนเฟดิปีน (Nifedipine)
- นิโลทินิบ (Nilotinib)
- นิโมดิปีน (Nimodipine)
- นินเทดานิบ (Nintedanib)
- นิทิซิโนน (Nitisinone)
- ออริทาแวนซิน (Oritavancin)
- ออริสแตท (Orlistat)
- พาโซพานิบ (Pazopanib)
- เพแรมพาเนล (Perampanel)
- พิแซนโทรน (Pixantrone)
- พาโมลิโดไมด์ (Pomalidomide)
- โพนาทินิบ (Ponatinib)
- โพซาโคนาโซล (Posaconazole)
- เรโกราเฟนิบ (Regorafenib)
- เรเซอร์พีน (Reserpine)
- ไรแฟมพิน (Rifampin)
- ไรวาโรซาแบน (Rivaroxaban)
- โรคูโรเนียม (Rocuronium)
- โรฟลูมิลาสท์ (Roflumilast)
- โรมิเดบซิน (Romidepsin)
- เซอร์ทราลีน (Sertraline)
- ซิลทูซิแมบ (Siltuximab)
- ซิเมเพรเวียร์ (Simeprevir)
- โซฟอสบูเวียร์ (Sofosbuvir)
- โซราเฟนิบ (Sorafenib)
- สมุนไพรเซนต์จอห์น (St John’s Wort)
- ซูนิทินิบ (Sunitinib)
- ทาโครไลมัส (Tacrolimus)
- ทาซิเมลเทออน (Tasimelteon)
- เทกาเฟอร์ (Tegafur)
- เทมไซโรลิมัน (Temsirolimus)
- เทโอฟีลลีน (Theophylline)
- ไทโอเทพา (Thiotepa)
- ไทคาเกรลอร์ (Ticagrelor)
- โทฟาซิทินิบ (Tofacitinib)
- โทลแวบแทน (Tolvaptan)
- ทราเบคเทดิน (Trabectedin)
- ยูลิพริสทอล แอซิแทต (Ulipristal Acetate)
- แวนเดทานิบ (Vandetanib)
- เวมูราเฟนิบ (Vemurafenib)
- ไวลาโซโดน (Vilazodone)
- วินคริสทีน ซัลเฟต (Vincristine Sulfate)
- วินคริสทีน ซัลเฟตไลโปโซม (Vincristine Sulfate Liposome)
- วินฟลูนีน (Vinflunine)
- โวราพาซาร์ (Vorapaxar)
- โวริโคนาโซล (Voriconazole)
- วอร์ไทโอเซทีน (Vortioxetine)
การใช้ยานี้ร่วมกับยาดังต่อไปนี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงบางอย่าง แต่การใช้ยาทั้งสองร่วมกันอาจเป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับคุณที่สุด หากคุณได้รับใบสั่งยาทั้งคู่ร่วมกัน แพทย์อาจจะต้องเปลี่ยนขนาดยา หรือความถี่ในการใช้ยาตัวหนึ่งหรือทั้งคู่
- อะเซตามีโนเฟน (Acetaminophen)
- อะเซตาโซลาไมด์ (Acetazolamide)
- อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir)
- อะมิโอดาโรน (Amiodarone)
- อะมิทริปไทลีน (Amitriptyline)
- แอมพรีนาเวียร์ (Amprenavir)
- อะเพรบพิแทนท์ (Aprepitant)
- อะทอร์วาสแตติน (Atorvastatin)
- เบต้าเมทาโซน (Betamethasone)
- เบกซาโรทีน (Bexarotene)
- บลีโอมัยซิน (Bleomycin)
- บูซัลแฟน (Busulfan)
- คาเพ็กไซทาบีน (Capecitabine)
- คาร์โบพลาติน (Carboplatin)
- แคสโปฟังกิน (Caspofungin)
- คลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol)
- ไซเมทิดีน (Cimetidine)
- ไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin)
- ซิสพลาติน (Cisplatin)
- โคลบาแซม (Clobazam)
- โคลฟาซิมีน (Clofazimine)
- โคลพิโดเกรล (Clopidogrel)
- คอร์ติโซน (Cortisone)
- ไซโคลสปอริน (Cyclosporine)
- ดีโซเจสตรีล (Desogestrel)
- เดกซาเมทาโซน (Dexamethasone)
- ไดคูมารอล (dicumarol)
- ไดเอโนเจส (Dienogest)
- ดิจิท็อกซิน (Digitoxin)
- ดิลไทอะเซม (Diltiazem)
- ไดโซไพราไมด์ (Disopyramide)
- ไดซัลฟิแรม (Disulfiram)
- ด็อกเซปิน (Doxepin)
- ดรอสไพรีโนน (Drospirenone)
- เอสทราไดอัล ไซพิโอเนท (Estradiol Cypionate)
- เอสทราไดอัล วาเลเรต (Estradiol Valerate)
- เอทินิล เอสทราไดอัล (Ethinyl Estradiol)
- เอทิโนไดออล ไดอาเรเทต (Ethynodiol Diacetate)
- อีโทโนเจสเตรล (Etonogestrel)
- เฟลบาเมท (Felbamate)
- ฟลูโคนาโซล (Fluconazole)
- ฟลูโดรคอร์ติโซน (Fludrocortisone)
- ฟลูออโรยูราซิล (Fluorouracil)
- ฟลูออกซิทีน (Fluoxetine)
- ฟลูวอกซามีน (Fluvoxamine)
- กรดโฟลิค (Folic Acid)
- ฟอสแอมพรีนาเวียร์ (Fosamprenavir)
- เจฟิทินิบ (Gefitinib)
- แปะก๊วย
- ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
- อิมิพรามีน (Imipramine)
- ไอโซไนอาซิด (Isoniazid)
- เลโวโดปา (Levodopa)
- เลโวเมทาดิล (Levomethadyl)
- ลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel)
- เลโวไทรอกซีน (Levothyroxine)
- เมดรอกซีโปรเจสเตอโรนแอซิเตต (Medroxyprogesterone Acetate)
- เมเพอริดีน (Meperidine)
- เมสทรานอล (Mestranol)
- เมทอกซาเลน (Methoxsalen)
- เมทอกซาเลน (Methoxsalen)
- มิดาโซแลม (Midazolam)
- อิมิดาโซล (Nafimidone)
- เนวฟินนาเวียร์ (Nelfinavir)
- ไนลูทาไมด์ (Nilutamide)
- ไนโซลดิปีน (Nisoldipine)
- นอร์เอลเจสโทรมิน (Norelgestromin)
- นอร์อิทิสเตอโรน (Norethindrone)
- นอร์เจสทิมีน (Norgestimate)
- นอร์เจสเทรล (Norgestrel)
- ออสพีมิฟีน (Ospemifene)
- ออกคาร์บาซีปีน (Oxcarbazepine)
- แพคลิแท๊กเซิล (Paclitaxel)
- แพนคูโรเนียม (Pancuronium)
- พาร็อกซีทีน (Paroxetine)
- เฟนโพรคูมอน (Phenprocoumon)
- พิเพอรีน (Piperine)
- เพรดนิโซโลน (prednisolone)
- เพรดนิโซน (Prednisone)
- โปรกาไบด์ (progabide)
- ควิไทอะปีน (Quetiapine)
- ควินิดีน (Quinidine)
- ควินีน (Quinine)
- เรเมเซไมด์ (Remacemide)
- ไรฟาเพนติน (Rifapentine)
- ริสเพอริโดน (Risperidone)
- รูฟินาไมด์ (Rufinamide)
- ซาเบลูโซล (Sabeluzole)
- แชงคาพูชิพี (Shankhapulshpi)
- ซิมวาสแตติน (simvastatin)
- ไซโรลิมัส (Sirolimus)
- ซัลฟาเมไทโซล (Sulfamethizole)
- ซัลฟาเมทอกซาโซล (Sulfamethoxazole)
- ซัลฟาเฟนาโซล (Sulfaphenazole)
- ซูไทแอม (Sulthiame)
- เทลิโทรมัยซิน (Telithromycin)
- เทไนแดบ (Tenidap)
- ไทอากาบีน (Tiagabine)
- ไทโคลพิดีน (Ticlopidine)
- ไทครายนาเฟน (Ticrynafen)
- ไทไรลาแซด (Tirilazad)
- ไทซานิดีน (Tizanidine)
- โทลบูตาไมด์ (Tolbutamide)
- โทไพราเมต (Topiramate)
- ทราโซโดน (Trazodone)
- ไทรแอมซิโนโลน (Triamcinolone)
- ไทรเมโทพริม (Trimethoprim)
- ทูโบคูรารีน (Tubocurarine)
- กรดวาลโพรอิก (Valproic Acid)
- เวคิวโรเนียม (Vecuronium)
- เวอราปามิล (Verapamil)
- ไวกาบาทริน (Vigabatrin)
- ไวโลซาซีน (Viloxazine)
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยาเฟนิโทอินอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
ยาเฟนิโทอินอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะ
- ปัญหาเกี่ยวกับเลือดหรือไขกระดูก เช่น ภาวะที่มีการลดลงของนิวโตรฟิล (agranulocytosis) ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติ (leukopenia) ภาวะเกร็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia)
- โรคเบาหวาน
- หัวใจล้มเหลว
- ปัญหาเกี่ยวกับการเต้นของหัวใจ
- ภาวะความดันโลหิตต่ำ (Hypotension)
- ภาวะต่อมน้ำเหลืองโต (Lymphadenopathy)
- โรคพอร์ฟิเรีย (Porphyria) —ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง อาจทำให้อาการนี้แย่ลง
- สัญญาณไฟฟ้าหัวใจถูกปิดกั้น (Heart block) เช่น กลุ่มอาการอาดัมส์-สโตคส์ (Adams-Stokes syndrome) สัญญาณไฟฟ้าหัวใจถูกขัดขวาง (AV block) หรือสัญญาณไฟฟ้าหัวใจไซโนเอเทรียลถูกขัดขวาง (sinoatrial block)
- อาการชีพจรเต้นช้า (sinus bradycardia)—ไม่ควรใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีอาการนี้
- ภาวะอะบูนินในเลือดต่ำ (Hypoalbuminemia)
- โรคไต
- โรคตับ—ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ผลของยาอาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากการกำจัดยาออกจากร่างกายได้ช้าลง
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาเฟนิโทอินสำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาอาการชัก (Seizures)
ขนาดยาเริ่มต้นสำหรับรับประทาน (ยกเว้นยาแขวนตะกอน) เฉพาะเมื่อมีการระบุให้ใช้สำหรับผู้ป่วยในเท่านั้น
- 1 กรัม แบ่งรับประทาน 3 ครั้ง (400 มก. 300 มก. 300 มก.) โดยเว้นช่วง 2 ชั่วโมง เริ่มให้ยาในขนาดยาปกติหลังจากให้ยาเริ่มต้น 24 ชั่วโมง
- ขนาดยาเริ่มต้น 100 มก. ยาแบบออกฤทธิ์นาน รับประทานวันละ 3 ครั้ง
- ขนาดยาปกติ 100 มก. รับประทานวันละ 3 ถึง 4 ครั้ง หากสามารถคงบคุมอาการชักได้ด้วยการแบ่งรับประทานแคปซูล 100 มก. วันละสามครั้ง อาจพิจารณารับประทานยาเฟนิโทอินโซเดียมแบบออกฤทธิ์นาน 300 มก. วันละหนึ่งครั้ง อีกทางเลือกหนึ่ง อาจเพิ่มขนาดยาไปถึง 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งหากจำเป็น
ยาแขวนตะกอน
- ผู้ป่วยที่ไม่เคยรับการรักษามาก่อนอาจเริ่มต้นที่ยาแขวนตะกอนขนาด 125 มก. (หนึ่งช้อนชา) วันละสามครั้ง แล้วจึงปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับความต้องการส่วนบุคคล อาจเพิ่มขนาดยาไปเป็นวันละ 5 ช้อนชาหากจำเป็น
ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ ห้ามหยอดยาเกินอัตรา 50 มก./นาที
- ขนาดยาปกติ 10 ถึง 15 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำช้าๆ
- ขนาดยาปกติ 100 มก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 6 ถึง 8 ชั่วโมง
ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ หลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อเนื่องจากการดูดซึมยาที่ไม่แน่นอน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia)
ขนาดยาเริ่มต้น
- 1.25 มก./กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 5 นาที อาจให้ยาในขนาดเริ่มต้นซ้ำมากถึง 15 มก.กก. หรือ
- 250 มก. รับประทานวันละ 4 ครั้งเป็นเวลา 1 วัน แล้วตามด้วย 250 มก. วันละสองครั้งเป็นเวลา 2 วัน
ขนาดยาปกติ:
- 300 ถึง 400 มก./วัน แบ่งรับประทานวันละ 1 ถึง 4 ครั้ง
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะชักต่อเนื่อง (Status Epilepticus)
ฉีดยาเข้าหลอดเลือด
- ขนาดยาเริ่มต้น คำแนะนำจากผู้ผลิต 10 ถึง 15 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดอย่างช้าๆ (ในอัตราที่ไม่เกิน 50 มก./นาที) อีกทางเลือกหนึ่ง แนวทางแนะนำที่ได้รับการยอมรับทั่วไปคือ 15 ถึง 20 มก./กก. โดยฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำอย่างช้าๆ (ในอัตราที่ไม่เกิน 50 มก./นาที)
- อัตราปกติ 100 มก. รับประทานหรือฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ ทุกๆ 6 ถึง 8 ชั่วโมง
- อัตราสูงสุด 50 มก./นาที
- ขนาดยาปกติ ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำหรือรับประทาน: 100 มก. ทุกๆ 6 ถึง 8 ชั่วโมง
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อศัลยกรรมประสาท (Neurosurgery)
- ศัลยกรรมประสาท (เพื่อการป้องกัน) 100 ถึง 200 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อในช่วง 4 ชั่วโมงระหว่างการผ่าตัดและทันทีหลังจากการผ่าตัด (หมายเหตุ: ในขณะที่ผู้ผลิตและนำการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ วิธีการนี้อาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงที่เนื้อเยื่อในบริเวณนั้นและการตายเฉพาะส่วน [necrosis] แพทย์บางรายอาจแนะนำให้ใช้ยาฟอสเฟนิโทอิน [Fosphenytoin] หากจำเป็นต้องฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ) หากการฉีดยาเข้ากลามเนื้อไม่จำเป็น เคยมีการใช้ยาในขนาด 100 ถึง 200 มก. ฉีดเข้าหลอดเลือดในช่วง 4 ชั่วโมงระหว่างการผ่าตัดและทันทีหลังจากการผ่าตัด
ขนาดยาเฟนิโทอินสำหรับเด็ก
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาอาการชัก (Seizures)
ภาวะชักต่อเนื่อง ขนาดยาเริ่มต้น
- ทารก เด็ก 15 ถึง 20 มก./กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดหนึ่งครั้งหรือแบ่งให้ยา
ยาต้านชัก ขนาดยาเริ่มต้น
- ทุกช่วงอายุ 15 ถึง 20 มก./กก. รับประทาน (ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของระดับเซรั่มของยาเฟนิโทอินและประวัติการใช้ยาล่าสุด) ขนาดยารับประทานเริ่มต้นควรแบ่งรับประทานเป็น 3 ครั้งให้ทุกๆ 2 ถึง 4 ชั่วโมง
ยาต้านชัก ขนาดยาปกติ
(ฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือรับประทาน) (หมายเหตุ อาจเริ่มต้นด้วยการแบ่งขนาดยาเป็น 3 ครั้ง/วัน แล้วจึงปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับความต้องการส่วนบุคคล)
- น้อยกว่าหรือเท่ากับ 4 สัปดาห์ ขนาดยาเริ่มต้น 5 มก./กก./วัน แบ่งให้ 2 ครั้ง
- ขนาดยาปกติ 5 ถึง 8 มก./กก./วัน แบ่งฉีดเข้าหลอดเลือดดำ 2 ครั้ง (อาจต้องให้ยาทุกๆ 8 ชั่วโมง)
มากกว่าหรือเท่ากับ 4 สัปดาห์: ขนาดยาเริ่มต้น 5 มก./กก./วัน แบ่งให้ 2 ถึง 3 ครั้ง
ขนาดยาปกติ: (อาจต้องให้ยาทุกๆ 8 ชั่วโมง)
- 6 เดือนถึง 3 ปี 8 ถึง 10 มก./กก./วัน
- 4 ถึง 6 ปี 7.5 ถึง 9 มก./กก./วัน
- 7 ถึง 9 ปี 7 ถึง 8 มก./กก./วัน
- 10 ถึง 16 ปี 6 ถึง 7 มก./กก./วัน
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia)
อายุมากกว่า 1 ปี
- ขนาดยาเริ่มต้น 1.25 มก./กก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 5 นาที อาจให้ซ้ำได้ในขนาดยาเริ่มต้น 15 มก./กก.
- ขนาดยาปกติ 5 ถึง 10 มก./กก./วัน แบ่งรับประทานหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ 2 ถึง 3 ครั้ง
รูปแบบของยา
ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้
- ยาแคปซูลสำหรับรับประทานในรูปโซเดียม 30 มก. 100 มก. 200 มก. 300 มก.
- สารละลายสำหรับฉีดในรูปโซเดียม 50 มก./มล.
- ยาแขวนตะกอนสำหรับรับประทาน 125 มก./5 มล. (237 มล.) 125 มก./5 มล. (4 มล. 237 มล.)
- ยาเม็ดสำหรับเคี้ยว 50 มก.
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
อาการของการใช้ยาเกินขนาดอาจมีดังนี้
- ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของดวงตาได้
- สูญเสียการเคลื่อนไหวที่สอดประสาน
- พูดช้าหรือพูดไม่ชัด
- อาการสั่นที่ไม่สามารถควบคุมได้ที่บางส่วนในร่างกาย
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ทำความเข้าใจกับความจริงได้ลำบาก
- อาการโคม่า (หมดสติในช่วงระยะหนึ่ง)
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]