ข้อบ่งใช้ ไอทราโคนาโซล
ไอทราโคนาโซล ใช้สำหรับ
ยา ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) ใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อราต่างๆ ยานี้อยู่ในกลุ่มของยาต้านเชื้อราเอโซล (azole antifungals) ทำงานโดยการยับยั้งการเติบโตของเชื้อรา
วิธีการใช้ยา ไอทราโคนาโซล
- รับประทานยานี้พร้อมกับอาหารตามที่แพทย์กำหนด โดยปกติแล้วคือวันละหนึ่งหรือสองครั้ง กลืนยาแคปซูลลงไปทั้งเม็ด
- รับประทานยาไอทราโคนาโซล 2 ชั่วโมงก่อนหรือ 1 ชั่วโมงหลังจากรับประทานยาลดกรด (antacids) ยาลดกรดอาจลดการดูดซึมของยานี้ได้ ดังนั้น จึงควรรับประทานยานี้พร้อมกับเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรด (เช่น น้ำอัดลม) หากคุณมีกรดในกระเพาะน้อยหรือไม่มีเลย (achlorhydria) หรือหากคุณรับประทานยาลดกรดในกระเพาะ เช่น ยาในกลุ่มเอช 2 บล็อกเกอร์ (H2 blockers) เช่น แรนิทิดีน (ranitidine) ยายับยั้งโปรตอนปั๊ม (proton pump inhibitors) เช่น โอเมพราโซล (omeprazole) โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
- ขนาดยาและระยะเวลาในการรักษา ขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์และการตอบสนองต่อการรักษา รับประทานยานี้ตามที่แพทย์กำหนด อาจจำเป็นต้องใช้ยาซ้ำเป็นรอบ สำหรับสภาวะบางอย่าง (สัปดาห์ละ 2 ครั้งเป็นเวลา 1 สัปดาห์ แล้วจึงหยุดใช้ยาเป็นเวลา 3 สัปดาห์)
- เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรรับประทานยาต้านเชื้อรา โดยเว้นช่วงเวลาที่เท่าๆ กัน เพื่อให้ง่ายต่อการจำควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน ควรทำเครื่องหมายไว้ที่ปฏิทิน หากคุณต้องใช้ยาเป็นรอบ
- ควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องจนครบกำหนด แม้ว่าอาการจะหายไปหลังจากผ่านไปไม่กี่วัน การหยุดใช้ยาเร็วเกินไป อาจทำให้กลับมาติดเชื้อได้อีกครั้ง
- ยาในรูปแบบแคปซูล ยาเม็ด และสารละลายนั้น มีขนาดยาที่แตกต่างกันและอาจใช้เพื่อจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน อย่าเปลี่ยนรูปแบบยาโดยไม่แจ้งให้แพทย์ทราบ
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการของคุณไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง
การเก็บรักษายา ไอทราโคนาโซล
ยา ไอทราโคนาโซล ควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาไอทราโคนาโซลบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยา หรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัยโปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่ควรทิ้งยา ไอทราโคนาโซล ลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ เว้นเสียแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำ ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อสินค้าหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โปรดสอบถามเภสัชกรเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา ไอทราโคนาโซล
- ก่อนใช้ยาไอทราโคนาโซล แจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณแพ้ยานี้ หรือแพ้ยาต้านเชื้อราเอโซลอื่นๆ เช่น คีโตโคนาโซล (ketoconazole) หรือหากคุณมีอาการแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอาการแพ้ หรือปัญหาอื่นๆ ได้ โปรดสอบถามเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
- ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ เกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะโรคตับ โรคไต โรคหัวใจ (เช่น หัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคลิ้นหัวใจ) โรคปอด เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease) มีกรดในกระเพาะน้อยหรือไม่มีกรดในกระเพาะ (achlorhydria)
- ก่อนการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ (ทั้งยาตามใบสั่งยา ยาที่หาซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ)
- ผู้สูงอายุอาจมีความเสี่ยงในการสูญเสียการได้ยิน ขณะใช้ยานี้ได้มากกว่า
- ในช่วงขณะการตั้งครรภ์ควรใช้ยานี้เมื่อจำเป็นเท่านั้น ยานี้อาจทำอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ โปรดปรึกษาเรื่องความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยากับแพทย์ ไม่ควรใช้ยานี้รักษาการติดเชื้อราที่เล็บ หากคุณกำลังตั้งครรภ์ หรืออาจจะตั้งครรภ์ ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ควรเริ่มต้นใช้ยานี้ 2 ถึง 3 วันหลังจากมีประจำเดือน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ โปรดสอบถามวิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้ ขณะที่กำลังใช้ยานี้ และภายใน 2 เดือนหลังจากที่หยุดใช้ยานี้
- ยาไอทราโคนาโซลสามารถส่งผ่านน้ำนมแม่ได้ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้
ยาไอทราโคนาโซลจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด C โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
- A= ไม่มีความเสี่ยง
- B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C= อาจจะมีความเสี่ยง
- D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
- X= ห้ามใช้
- N= ไม่มีข้อมูลเพียงพอ
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยา ไอทราโคนาโซล
- อาจเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ปวดหัว ท้องไส้ปั่นป่วน หรือวิงเวียน แจ้งให้แพทย์ทราบ หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือแย่ลง
- โปรดจำไว้ว่าการที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากคำนวณแล้วว่า ยามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ
- แจ้งให้แพทย์ทราบ หากคุณมีผลข้างเคียงที่รุนแรงดังต่อไปนี้ คือ เหน็บชาที่แขนหรือขา สูญเสียการได้ยิน มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจหรืออารมณ์ (เช่น ซึมเศร้า)
- ค่อนข้างพบได้ยากที่ ยาไอทราโคนาโซลอาจทำให้เกิดโรคตับที่รุนแรงมาก (อาจถึงแก่ชีวิต) แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากคุณมีอาการของโรคตับ เช่น คลื่นไส้อาเจียนไม่หยุด เบื่ออาหาร ปวดท้อง/กระเพาะอาหาร ดวงตาและผิวเป็นสีเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม
- ยาไอทราโคนาโซลมักทำให้เกิดอาการผดผื่นเล็กน้อยที่ไม่รุนแรง แต่คุณอาจไม่สามารถแยกแยะระหว่างผดผื่นหายาก ที่เป็นสัญญาณของอาการแพ้ที่รุนแรง ควรรับการรักษาในทันที หากคุณมีผดผื่นเกิดขึ้น
- การแพ้ยาที่รุนแรงนี้ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรงมีดังนี้ ผดผื่น คันหรือบวม (โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ) เวียนหัวขั้นรุนแรง หายใจติดขัด
- ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้อาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
- ยา ไอทราโคนาโซล นั้นมีปฏิกิริยากับยาหลายชนิด ยาอื่นนั้นอาจส่งผลต่อการกำจัดยาไอทราโคนาโซลออกจากร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับการทำงานของยาไอทราโคนาโซล ยกตัวอย่างเช่น เอฟฟาไวเร็นซ์ (efavirenz) ไอโซไนอาซิด (isoniazid) เนวิราปีน (nevirapine) ไรฟาไมซิน (rifamycins) เช่น ไรฟาบูติน (rifabutin) ยาบางชนิดที่ใช้รักษาอาการชัก เช่น เฟนิโทอิน (phenytoin) และอื่นๆ
ยาไอทราโคนาโซลอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือกัญชา อาจทำให้อาการง่วงซึมรุนแรงขึ้นได้ อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัว จนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และปรึกษาแพทย์ หากคุณใช้กัญชา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคตับที่รุนแรงได้อีกด้วย
ยาไอทราโคนาโซลอาจมีปฏิกิริยากับอาหาร หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
ยาไอทราโคนาโซลอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์และเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาไอทราโคนาโซลสำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคบลาสโตไมโคสิส (Blastomycosis)
- ขนาดยาเริ่มต้น: 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งในช่วง 3 วันแรกของการรักษา
- ขนาดยาปกติ: 200 มก. รับประทานวันละหนึ่งหรือสองครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษา: อย่างน้อย 3 เดือนและจนกว่าตัวแปรทางการแพทย์และผลการทดสอบในห้องทดลองจะบ่งชี้ว่าการติดเชื้อราที่เป็นอยู่นั้นลดลงแล้ว
คำแนะนำ
- รูปแบบแคปซูล
- ควรใช้ยาขนาดเริ่มต้นในสถานการณ์ที่รุนแรงถึงแก่ชีวิต
- หากไม่สามารถเห็นได้ชัดหรือมีหลักฐานว่าอาการดีขึ้นจากการใช้ยาที่ขนาด 200 มก./วัน ควรเพิ่มขนาดยา 100 มก. ขึ้นไปสูงสุดที่ 400 มก./วัน
การใช้งาน เพื่อรักษาโรคบลาสโตไมโคสิส (ภายในปอดและภายนอกปอด) ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและไม่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (Infectious Diseases Society of America)
การติดเชื้อที่ปอดระดับเบาถึงปานกลางหรือการติดเชื้อที่แพร่กระจายระดับเบาถึงปานกลางโดยไม่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทส่วนกลาง
- 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน แล้วตามด้วย 200 มก. รับประทานวันละหนึ่งหรือสองครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษา: 6 ถึง 12 เดือน
การติดเชื้อที่ปอดระดับปานกลางถึงรุนแรงหรือการติดเชื้อที่แพร่กระจายระดับปานกลางถึงรุนแรงโดยไม่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทส่วนกลาง หลังจากที่เริ่มต้นรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี (amphotericin B) เข้าหลอดเลือดดำ
- 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน แล้วตามด้วย 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษาทั้งหมด
- การติดเชื้อที่ปอด: 6 ถึง 12 เดือน
- การติดเชื้อภายนอกปอดแบบแพร่กระจาย: อย่างน้อย 12 เดือน
- ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ: อย่างน้อย 12 เดือน
การติดเชื้อที่ระบบประสาทส่วนกลาง (หลังจากที่เริ่มต้นรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี เข้าหลอดเลือดดำ)
- 200 มก. รับประทานวันละ 2 หรือ 3 ครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษา:อย่างน้อย 12 เดือนและจนกว่าความผิดปกติของน้ำในโพรงสมอง (CSF) จะเป็นปกติ
การป้องกันการกำเริบ (การป้องกันแบบทุติยภูมิ) สำหรับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ:
- 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
คำแนะนำ
ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำที่ไม่สามารถแก้ไขได้ อาจจำเป็นต้องใช้ยานี้ตลอดชีวิต
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคฮีสโตพลาสโมสิส (Histoplasmosis)
- ขนาดยาเริ่มต้น: 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งในช่วง 3 วันแรกของการรักษา
- ขนาดยาปกติ: 200 มก. รับประทานวันละหนึ่งหรือสองครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษา: อย่างน้อย 3 เดือนและจนกว่าผลทางการแพทย์และผลการทดสอบในห้องทดลองจะบ่งชี้ว่าการติดเชื้อราที่เป็นอยู่นั้นลดลงแล้ว
คำแนะนำ
- รูปแบบแคปซูล
- ควรใช้ยาขนาดนำในสถานการณ์ที่รุนแรงถึงแก่ชีวิต
- หากไม่สามารถเห็นได้ชัดหรือมีหลักฐานว่าอาการดีขึ้นจากการใช้ยาที่ขนาด 200 มก./วัน ควรเพิ่มขนาดยา 100 มก. ขึ้นไปสูงสุดที่ 400 มก./วัน
การใช้งาน เพื่อรักษาโรคฮีสโตพลาสโมสิส (รวมไปถึงโรคโพรงในปอดเรื้อรัง [chronic cavitary pulmonary disease] และโรคฮีสโตพลาสโมสิสแบบลุกลามและโรคฮีสโตพลาสโมสิสที่ไม่เกี่ยวข้องกับเยื่อหุ้มสมอง) ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและไม่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา
การติดเชื้อที่ปอดระดับเบาถึงปานกลางหรือการติดเชื้อที่แพร่กระจายระดับเบาถึงปานกลางโดยไม่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทส่วนกลาง:
- 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน แล้วตามด้วย 200 มก. รับประทานวันละหนึ่งหรือสองครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษา: 6 ถึง 12 เดือน
การติดเชื้อที่ปอดระดับปานกลางถึงรุนแรงหรือการติดเชื้อที่แพร่กระจายระดับปานกลางถึงรุนแรงโดยไม่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทส่วนกลาง หลังจากที่เริ่มต้นรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี (amphotericin B) เข้าหลอดเลือดดำ:
- 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน แล้วตามด้วย 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษาทั้งหมด: 12 สัปดาห์
การติดเชื้อโรคโพรงในปอดเรื้อรัง:
- 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน แล้วตามด้วย 200 มก. รับประทานวันละหนึ่งหรือสองครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษา: อย่างน้อย 1 ปี (18 ถึง 24 เดือนนั้นเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยบางรายเนื่องจากความเสี่ยงในการกำเริบของโรค)
การติดเชื้อแบบลุกลามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ระดับเบาถึงปานกลาง:
- 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน แล้วตามด้วย 200 มก. รับประทานสองครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษา: อย่างน้อย 1 ปี
การติดเชื้อแบบลุกลามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ระดับปานกลางถึงรุนแรง (หลังจากที่เริ่มต้นรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี เข้าหลอดเลือดดำ):
- 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน แล้วตามด้วย 200 มก. รับประทานสองครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษาทั้งหมด: อย่างน้อย 12 เดือน
การติดเชื้อโดยมีเนื้องอกในบริเวณประจันอกที่แสดงอาการ (symptomatic mediastinal granuloma) หรือมีอาการแทรกซ้อน เช่น ภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis) กลุ่มอาการรูมาโทโลจิก (rheumatologic syndromes) ต่อมน้ำเหลืองอักเสบในบริเวณประจันอกที่แสดงอาการ (symptomatic mediastinal lymphadenitis) ที่จำเป็นต้องรักษาด้วยคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroid):
- 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน แล้วตามด้วย 200 มก. รับประทานวันละหนึ่งหรือสองครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษา: 6 ถึง 12 สัปดาห์
การติดเชื้อที่ระบบประสาทส่วนกลาง (หลังจากที่เริ่มต้นรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี เข้าหลอดเลือดดำ):
- 200 มก. รับประทานวันละ 2 หรือ 3 ครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษา:อย่างน้อย 1 ปีและจนกว่าความผิดปกติของน้ำในโพรงสมอง (CSF) จะเป็นปกติและไม่สามารถตรวจพบฮีสโตพลาสมาแอนติเจน (histoplasmal antigen)
การป้องกันแบบปฐมภูมิสำหรับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
- 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
การป้องกันการกำเริบ (การป้องกันแบบทุติยภูมิ)
- 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
คำแนะนำ
- ควรใช้ยาในรูปแบบยาสารละลายสำหรับรับประทาน แต่อาจเลือกใช้ยาแคปซูลได้
- ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำที่ไม่สามารถแก้ไขได้อาจจำเป็นต้องใช้ยานี้รักษาเพื่อกดอาการไปตลอดชีวิต
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ (CDC) สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี:
การติดเชื้อแบบลุกลามที่รุนแรงน้อยกว่า
- 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน แล้วตามด้วย 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษา: อย่างน้อย 12 เดือน
การติดเชื้อแบบลุกลามที่รุนแรงปานกลางจนถึงรุนแรง (หลังจากที่เริ่มต้นรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี เข้าหลอดเลือดดำ)
- 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน แล้วตามด้วย 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษาทั้งหมด: อย่างน้อย 12 เดือน
อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis) ที่ยืนยันแล้ว (หลังจากที่เริ่มต้นรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี เข้าหลอดเลือดดำ)
- 200 มก. รับประทานวันละ 2 หรือ 3 ครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษา:อย่างน้อย 12 เดือนและจนกว่าความผิดปกติของน้ำในโพรงสมอง (CSF) จะเป็นปกติ
การป้องกันแบบปฐมภูมิ
- 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
การรักษาเพื่อกดอาการในระยะยาว (การป้องกันแบบทุติยภูมิ)
- 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
คำแนะนำ
- แนะนำเป็นการวิธีรักษาที่ควรเลือกใช้
- แนะนำให้ใช้ยาในรูปแบบยาสารละลายสำหรับรับประทาน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคแอสเปอร์จิลโลสิส (Aspergillosis) – เชื้อแอสเปอร์จิลโลมา (Aspergilloma)
- ขนาดยาเริ่มต้น: 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งในช่วง 3 วันแรกของการรักษา
- ขนาดยาปกติ: 200 มก. รับประทานวันละหนึ่งหรือสองครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษา: อย่างน้อย 3 เดือนและจนกว่าตัวแปรทางการแพทย์และผลการทดสอบในห้องทดลองจะบ่งชี้ว่าการติดเชื้อราที่เป็นอยู่นั้นลดลงแล้ว
คำแนะนำ
- รูปแบบแคปซูล
- ควรใช้ยาขนาดเริ่มต้นในสถานการณ์ที่รุนแรงถึงแก่ชีวิต
การใช้งาน: เพื่อรักษาโรคแอสเปอร์จิลโลสิส (ภายในปอดและภายนอกปอด) ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและไม่มีภูมิคุ้มกันต่ำที่ไม่ทนหรือดื้อต่อยาแอมโฟเทอริซิน บี
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา:
- โรคแอสเปอร์จิลโลสิสแบบรุกราน: 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน แล้วตามด้วย 200 มก. รับประทานวันละหนึ่งหรือสองครั้ง
- การรักษาต้านเชื้อราโดยยังไม่ทราบเชื้อก่อโรคและเพื่อป้องกันล่วงหน้า (preemptive): 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
- เพื่อป้องกันโรคแอสเปอร์จิลโลสิสแบบรุกราน: 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
คำแนะนำ
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษา (กู้ชีพ) โรคแอสเปอร์จิลโลสิสแบบรุกรานและป้องกันโรคแอสเปอร์จิลโลสิสแบบรุกราน สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ทนหรือดื้อต่อการรักษาต้านเชื้อราแบบปฐมภูมิ
- แนะนำเป็นการรักษาแบบปฐมภูมิสำหรับการรักษาต้านเชื้อราโดยยังไม่ทราบเชื้อก่อโรคและเพื่อป้องกันล่วงหน้า
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคแอสเปอร์จิลโลสิส (Aspergillosis) – รุกราน
- ขนาดยาเริ่มต้น: 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งในช่วง 3 วันแรกของการรักษา
- ขนาดยาปกติ: 200 มก. รับประทานวันละหนึ่งหรือสองครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษา: อย่างน้อย 3 เดือนและจนกว่าตัวแปรทางการแพทย์และผลการทดสอบในห้องทดลองจะบ่งชี้ว่าการติดเชื้อราที่เป็นอยู่นั้นลดลงแล้ว
คำแนะนำ
- รูปแบบแคปซูล
- ควรใช้ยาขนาดเริ่มต้นในสถานการณ์ที่รุนแรงถึงแก่ชีวิต
การใช้งาน: เพื่อรักษาโรคแอสเปอร์จิลโลสิส (ภายในปอดและภายนอกปอด) ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและไม่มีภูมิคุ้มกันต่ำที่ไม่ทนหรือดื้อต่อยาแอมโฟเทอริซิน บี
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา
- โรคแอสเปอร์จิลโลสิสแบบรุกราน: 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน แล้วตามด้วย 200 มก. รับประทานวันละหนึ่งหรือสองครั้ง
- การรักษาต้านเชื้อราโดยยังไม่ทราบเชื้อก่อโรคและเพื่อป้องกันล่วงหน้า (preemptive): 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
- เพื่อป้องกันโรคแอสเปอร์จิลโลสิสแบบรุกราน: 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
คำแนะนำ
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษา (กู้ชีพ) โรคแอสเปอร์จิลโลสิสแบบรุกรานและป้องกันโรคแอสเปอร์จิลโลสิสแบบรุกราน สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ทนหรือดื้อต่อการรักษาต้านเชื้อราแบบปฐมภูมิ
- แนะนำเป็นการรักษาแบบปฐมภูมิสำหรับการรักษาต้านเชื้อราโดยยังไม่ทราบเชื้อก่อโรคและเพื่อป้องกันล่วงหน้า
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาเชื้อราในช่องปาก (Oral Thrush)
การติดเชื้อแคนดิดาที่คอหอยส่วนปาก (Oropharyngeal candidiasis): 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: 1 ถึง 2 สัปดาห์
การติดเชื้อแคนดิดาที่คอหอยส่วนปากที่ไม่ตอบสนอง/ดื้อต่อการรักษาด้วยยาเม็ดฟลูโคนาโซล (fluconazole): 100 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
คำแนะนำ
- ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- ควรกวาดยาสารละลายสำหรับรับประทานภายในปากให้ดี (10 มล. ต่อครั้ง) เป็นเวลาหลายวินาทีแล้วจึงค่อยกลื่นยา
- สัญญาณ/อาการทางการแพทย์ของการติดเชื้อแคนดิดาที่คอหอยส่วนปากโดยปกติจะหายไปภายในไม่กี่วัน
- มีเพียงยาสารละลายสำหรับรับประทานที่แสดงให้ถึงประสิทธิภาพต่อการติดเชื้อแคนดิดาภายในปากและ/หรือหลอดอาหาร
- สำหรับผู้ป่วยที่มีการตอบสนองต่อการรักษาควรเห็นการตอบสนองทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อแคนดิดาที่คอหอยส่วนปากที่ไม่ตอบสนอง/ดื้อต่อการรักษาด้วยยาเม็ดฟลูโคนาโซล ภายใน 2 ถึง 4 สัปดาห์ ผู้ป่วยอาจมีอาการกำเริบในระยะสั้นหลังจากหยุดการรักษา
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา
การติดเชื้อแคนดิดาที่คอหอยส่วนปาก: 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
ระยะเวลาในการรักษาสำหรับการติดเชื้อที่ไม่ซับซ้อน: 7 ถึง 14 วัน
คำแนะนำ
- ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษาสำหรับการติดเชื้อที่ดื้อยา
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี
- การติดเชื้อแคนดิดาที่คอหอยส่วนปาก (การรักษาช่วงแรก): 200 มก. รับประทานวันละครั้ง ระยะเวลาในการรักษา: 7 ถึง 14 วัน
- การป้องกันแบบทุติยภูมิ (รักษาเพื่อกดอาการ): 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
คำแนะนำ
- ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษาโดยการรับประทานยา
- ไม่แนะนำให้ทำเป็นการป้องกันแบบทุติยภูมิเป็นประจำ
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อแคนดิดาที่หลอดอาหาร (Esophageal Candidiasis)
- 100 มก. รับประทานวันละครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษา: อย่างน้อย 3 สัปดาห์และเป็นเวลา 2 สัปดาห์หลังจากแก้อาการได้แล้ว
คำแนะนำ
- ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- อาจมีการใช้ยาในขนาดที่มากถึง 200 มก./วัน ขึ้นอยู่กับการตัดสินทางการแพทย์และการตอบสนองของผู้ป่วย
- ควรกวาดยาสารละลายสำหรับรับประทานภายในปากให้ดี (10 มล. ต่อครั้ง) เป็นเวลาหลายวินาทีแล้วจึงค่อยกลื่นยา
- มีเพียงยาสารละลายสำหรับรับประทานที่แสดงให้ถึงประสิทธิภาพต่อการติดเชื้อแคนดิดาภายในปากและ/หรือหลอดอาหาร
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา:
200 มก. รับประทานวันละครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: 14 ถึง 21 วัน
คำแนะนำ
- ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษาสำหรับการติดเชื้อที่ดื้อยา
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี:
200 มก. รับประทานวันละครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: 14 ถึง 21 วัน
คำแนะนำ:
- ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษา
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคเชื้อราที่เล็บ (Onychomycosis) – เล็บเท้า
- 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษา: 12 สัปดาห์ติดต่อกัน
คำแนะนำ
- ยารูปแบบแคปซูล
- ยาแคปซูล: โดยเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับเล็บมือ
- ควรมีการวินิจฉัยเพื่อยืนยันก่อนเริ่มต้นการรักษา ควรทำการตรวจสอบตัวอย่างเล็บภายในห้องทดลองที่เหมาะสม เช่นการตรวจหาเชื้อราโดยวิธีโปแตสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH preparation) การเพาะเชื้อรา (fungal culture) การตัดตัวอย่างเล็บเพื่อทำการตรวจ (nail biopsy)
การใช้งาน
- ยาแคปซูล: สำหรับรักษาโรคเชื้อราที่เล็บเท้า (โดยเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับเล็บมือ) เนื่องจากเชื้อราในกลุ่มเดอร์แมโทไฟต์ (dermatophytes) อย่างทิเนียอันเกียม (tinea unguium) ในผู้ป่วยที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
- ยาเม็ด: สำหรับรักษาโรคเชื้อราที่เล็บเท้าเนื่องจากเชื้อราไทรโคไฟทอน รูบรัม (Trichophyton rubrum) หรือที เมนทาโกรไฟต์ (T mentagrophytes) ในผู้ป่วยที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคเชื้อราที่เล็บ (Onychomycosis) – เล็บนิ้วมือ
การรักษาแบบกินยาเป็นช่วงๆ (Treatment pulse): 200 มก. รับประทานวันละสองครั้งเป็นเวลา 1 สัปดาห์
คำแนะนำ
- ยารูปแบบแคปซูล
- เล็บนิ้วมือเท่านั้น
- ควรมีการวินิจฉัยเพื่อยืนยันก่อนเริ่มต้นการรักษา ควรทำการตรวจสอบตัวอย่างเล็บภายในห้องทดลองที่เหมาะสม เช่นการตรวจหาเชื้อราโดยวิธีโปแตสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH preparation) การเพาะเชื้อรา (fungal culture) การตัดตัวอย่างเล็บเพื่อทำการตรวจ (nail biopsy)
- สูตรยาที่แนะนำคือการรักษาแบบกินยาเป็นช่วงๆ 2 ครั้ง โดยเว้นช่วงไม่มีการรักษา ควรมีการศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์สำหรับแนวทางเพิ่มเติม
การใช้งาน เพื่อรักษาโรคเชื้อราที่เล็บนิ้วมือเนื่องจากเชื้อราในกลุ่มเดอร์แมโทไฟต์ (dermatophytes) อย่างทิเนียอันเกียม (tinea unguium) ในผู้ป่วยที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคค็อกสิดิออยโดไมโคสิส (Coccidioidomycosis)
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา: 200 มก. รับประทานวันละ 2 หรือ 3 ครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา:
- โรคปอดบวมจากเชื้อราค็อกซิดิออยดีส (coccidioidal pneumonia) ที่ไม่ซับซ้อน: 3 ถึง 6 เดือน
- โรคปอมบวมแบบลุกลามและโรคปอดบวมที่พังผืดและโพรงแบบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เรื้อรัง (chronic progressive fibrocavitary pneumonia): อย่างน้อย 1 ปี
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี:
- การติดเชื้อระดับเบา เช่นโรคปอมบวมเฉพาะที่ (focal pneumonia): 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
- การติดเชื้อที่ไม่ใช่ที่เยื่อหุ้มสมองระดับรุนแรง (ภายในปอดแบบลุกลามหรือผู้ป่วยหนักที่ป่วยเป็นโรคแบบลุกลามที่ทางเดินหายใจนอก (extrathoracic disseminated disease) – ระยะเฉียบพลัน: 400 มก. รับประทานวันละครั้ง
- การติดเชื้อภายในเยื่อหุ้มสมอง: 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
- รักษาเพื่อกดอาการเรื้อรัง (การป้องกันแบบทุติยภูมิ): มก. รับประทานวันละสองครั้ง
คำแนะนำ
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษาสำหรับการติดเชื้อระดับเบาและรักษาเพื่อกดอาการเรื้อรัง
- เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสมสำหรับการติดเชื้อที่ไม่ใช่ที่เยื่อหุ้มสมองระดับรุนแรง รวมทั้งการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี เข้าหลอดเลือดดำจนกระทั่งมีอาการความก้าวหน้าทางการแพทย์ ตามด้วยยาไตรเอโซล (triazole) เป็นทางเลือกในการรักษาผู้เชี่ยวชาญบางรายอาจเพิ่มยาไตรเอโซล (ยานี้เหมาะสำหรับโรคกระดูก) เพิ่มในการรักษาด้วยยาแอมโฟเทอริซิน บี และใช้ยาไตรเอโซลอย่างต่อเนื่องหลังจากหยุดใช้ยาแอมโฟเทอริซิน บี
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษาสำหรับการติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง ควรมีการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคสปอโรทริโคสิส (Sporotrichosis)
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา:
การติดเชื้อที่ผิวหนังหรือต่อมน้ำเหลือง:
- ขนาดยาที่แนะนำ: 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
- หากผู้ป่วยไม่ตอบสนอง: 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: 2 ถึง 4 สัปดาห์หลังจากที่แผลทั้งหมดหายไป (โดยปกติระยะเวลาโดยรวมคือ 3 ถึง 6 เดือน)
การติดเชื้อที่กระดูกและข้อ: 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
ระยะเวลาในการรักษาทั้งหมด: อย่างน้อย 12 เดือน
การติดเชื้อที่ปอดระดับรุนแรงน้อยกว่า: 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา:อย่างน้อย 12 เดือน
การติดเชื้อที่เยื่อหุ่มสมอง การติดเชื้อที่ลุกลาม หรือการติดเชื้อที่ปอดระดับรุนแรงหรือถึงแก่ชีวิต (หลังจากที่เริ่มต้นรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี เข้าหลอดเลือดดำ): 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
ระยะเวลาในการรักษาทั้งหมด: อย่างน้อย 12 เดือน
เพื่อป้องกันการกำเริบของการติดเชื้อที่เยื่อหุ่มสมองหรือการติดเชื้อที่ลุกลาม (การป้องกันแบบทุติยภูมิ) สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์และผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำอื่นๆ: 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
คำแนะนำ
- แนะนำเป็นการรักษาที่เหมาะสม
- ควรเลือกใช้ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคคริปโตคอกโคสิส (Cryptococcosis)
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา:
การติดเชื้อที่ปอดระดับเบาถึงปานกลาง (ไม่ใช่ที่เยื่อหุ้มสมอง) ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ: 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: 6 ถึง 12 เดือน
การรักษาเพื่อประคับประคอง (กดอาการ) และป้องกันโรคสำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี: 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: อย่างน้อย 1 ปี
คำแนะนำ
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษา ควรเลือกใช้ยาฟลูโคนาโซล (fluconazole)
- ควรใช้ยาในรูปแบบยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- ไม่แนะนำให้ทำเป็นการป้องกันแบบปฐมภูมิเป็นประจำ
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อคริปโตค็อกคัส (Cryptococcal Meningitis) – ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี:
การรักษาร่วมกัน (Consolidation therapy): 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: อย่างน้อย 8 สัปดาห์
คำแนะนำ
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษา ควรเลือกใช้ยาฟลูโคนาโซล (fluconazole)
- ควรเริ่มต้นการรักษาร่วมกันหลังจากการรักษาหลักอย่างแรก (induction therapy) อย่างน้อย 2 สัปดาห์และควรตามด้วยการรักษาตามปกติ
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อแคนดิดาในช่องคลอด (Vaginal Candidiasis)
การติดเชื้อแคนดิดาในช่องคลอด (Vulvovaginal candidiasis): 200 มก. รับประทานวันละสองครั้งเป็นเวลา 1 วัน
คำแนะนำ:
- ยารูปแบบแคปซูล
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี:
การติดเชื้อแคนดิดาในช่องคลอดที่ไม่ซับซ้อน: รับประทานวันละ 200 มก. เป็นเวลา 3 ถึง 7 วัน
คำแนะนำ:
- ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษา
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคไมโครสปอริดิโอซิส (Microsporidiosis)
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี:
การติดเชื้อที่ลุกลามเนื่องจากเชื้อเทรคิปเลอิสโทฟอร่า (Trachipleistophora) หรือเชื้อแอนคาลิเอีย (Anncaliia): รับประทานวันละ 400 มก.
คำแนะนำ:
- ยานี้อาจมีประโยชน์เมื่อใช้ร่วมกับยาอัลเบนดาโซล (albendazole)
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อราทั่วร่างกาย (Systemic Fungal Infection)
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา:
การรักษาโดยยังไม่ทราบเชื้อก่อโรค (Empirical therapy): 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
คำแนะนำ:
- แนะนำเป็นอีกทางเลือกของการรักษาผู้ป่วยภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นแคนดิไดอะซิส (candidiasis) แบบรุกราน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อป้องกันการติดเชื้อรา
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา:
ยาต้านเชื้อราเพื่อป้องกันสำหรับผู้ป่วยภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (neutropenia) เนื่องจากการทำเคมีบำบัด: 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
คำแนะนำ:
- แนะนำเป็นอีกทางเลือกของการรักษา
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคเกลื้อน (Tinea Vesicolor)
งานวิจัย (n=36)
200 มก. รับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 7 วัน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคพาราค็อกสิดิออยโดไมโคสิส (Paracoccidioidomycosis)
200 มก. รับประทานวันละเป็นเวลา 6 เดือน
การปรับขนาดยาสำหรับไต
ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
การปรับขนาดยาสำหรับตับ
ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
การปรับขนาดยา
ผู้เชี่ยวชาญบบางรายแนะนำให้ปรับขนาดยาโดยขึ้นอยู่กับระดับของเซรั่มของยา และ/หรือปฏิกิรยาของยา
ขนาดยาไอทราโคนาโซลสำหรับเด็ก
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคบลาสโตไมโคสิส (Blastomycosis)
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับเด็ก:
การติดเชื้อระดับเบาถึงปานกลาง: 10 มก./กก. รับประทานวันละครั้ง
ขนาดยาสูงสุด: 400 มก./วัน
ระยะเวลาในการรักษา: 6 ถึง 12 เดือน
การติดเชื้อระดับปานกลางถึงรุนแรง (หลังจากที่เริ่มต้นรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี เข้าหลอดเลือดดำ): 10 มก./กก. รับประทานวันละครั้ง
ขนาดยาสูงสุด: 400 มก./วัน
ระยะเวลาในการรักษาทั้งหมด: 12 เดือน
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคฮีสโตพลาสโมสิส (Histoplasmosis)
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับเด็ก:
การติดเชื้อที่ปอดฉับพลัน: 5 ถึง 10 มก./กก./วัน แบ่งรับประทาน 2 ครั้ง
ขนาดยาสูงสุด: 400 มก./วัน
การติดเชื้อแบบลุกลามที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ (หลังจากที่เริ่มต้นรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี เข้าหลอดเลือดดำ): 5 ถึง 10 มก./กก./วัน แบ่งรับประทาน 2 ครั้ง
ขนาดยาสูงสุด: 400 มก./วัน
ระยะเวลาในการรักษาทั้งหมด: 3 เดือน อาจจำเป็นต้องรักษานานกว่านี้สำหรับผู้ป่วยขั้นรุนแรง มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือผู้ป่วยในกลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่องชนิดปฐมภูมิ (primary immunodeficiency syndromes)
ป้องกันการกำเริบ (การป้องกันแบบทุติยภูมิ): 5 มก./กก. รับประทานวันละครั้ง
ขนาดยาสูงสุด: 200 มก./วัน
คำแนะนำ:
- โดยปกติมักจะใช้ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำที่ไม่สามารถแก้ไขได้อาจจำเป็นต้องใช้ยานี้รักษาเพื่อกดอาการ ไปตลอดชีวิต
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ สมาคมโรคติดเชื้อแห่ง สหรัฐอเมริกา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็ก (PIDS) และสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (AAP) สำหรับผู้ป่วยที่เปิดรับเชื้อเอชไอวีและเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี
การติดเชื้อที่ปอดฉับพลันแบบปฐมภูมิ: 2 ถึง 5 มก./กก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน ตามด้วย 2 ถึง 5 มก./กก. รับประทานวันละสองครั้ง
ขนาดยาสูงสุด: 200 มก./ครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: 12 เดือน ระยะเวลา 12 สัปดาห์อาจเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันจากเซลล์ที่ใช้งานได้ (cellular immunity)
การติดเชื้อแบบลุกลามระดับเบา: 2 ถึง 5 มก./กก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน ตามด้วย 2 ถึง 5 มก./กก. รับประทานวันละสองครั้ง
ขนาดยาสูงสุด: 200 มก./ครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: 12 เดือน
การรักษาร่วมสำหรับการติดเชื้อแบบลุกลามระดับปานกลางถึงรุนแรง (หลังจากที่เริ่มต้นรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี เข้าหลอดเลือดดำ): 2 ถึง 5 มก./กก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน ตามด้วย 2 ถึง 5 มก./กก. รับประทานวันละสองครั้ง
ขนาดยาสูงสุด: 200 มก./ครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: 12 เดือน
การรักษาร่วมสำหรับการติดเชื้อที่ระบบประสาทส่วนกลาง (หลังจากที่เริ่มต้นรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี เข้าหลอดเลือดดำ): 2 ถึง 5 มก./กก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน ตามด้วย 2 ถึง 5 มก./กก. รับประทานวันละสองครั้ง
ขนาดยาสูงสุด: 200 มก./ครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: อย่างน้อย 12 เดือนและจนกว่าความผิดปกติของน้ำในโพรงสมองจะเป็นปกติและไม่สามารถตรวจพบฮีสโตพลาสมาแอนติเจน
การป้องกันแบบทุติยภูมิ (รักษาเพื่อกดอาการ): : 5 ถึง 10 มก./กก. รับประทานวันละครั้ง
ขนาดยาสูงสุด: 200 มก./ครั้ง
คำแนะนำ:
- แนะนำเป็นการวิธีรักษาที่ควรเลือกใช้
- แนะนำให้ใช้ยาในรูปแบบยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- ควรทำการรักษาร่วมตามด้วยรักษาเพื่อกดอาการเรื้อรัง
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวี:
การติดเชื้อแบบลุกลามที่รุนแรงน้อยกว่า: 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน แล้วตามด้วย 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: อย่างน้อย 12 เดือน
การติดเชื้อแบบลุกลามที่รุนแรงปานกลางจนถึงรุนแรง (หลังจากที่เริ่มต้นรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี เข้าหลอดเลือดดำ): 200 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน แล้วตามด้วย 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
ระยะเวลาในการรักษาทั้งหมด: อย่างน้อย 12 เดือน
อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่ยืนยันแล้ว (หลังจากที่เริ่มต้นรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี เข้าหลอดเลือดดำ): 200 มก. รับประทานวันละ 2 หรือ 3 ครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา:อย่างน้อย 12 เดือนและจนกว่าความผิดปกติของน้ำในโพรงสมองจะเป็นปกติ
การป้องกันแบบปฐมภูมิ:200 มก. รับประทานวันละครั้ง
การรักษาเพื่อกดอาการในระยะยาว (การป้องกันแบบทุติยภูมิ): 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
คำแนะนำ:
- แนะนำเป็นการวิธีรักษาที่ควรเลือกใช้
- แนะนำให้ใช้ยาในรูปแบบยาสารละลายสำหรับรับประทาน
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาเชื้อราในช่องปาก (Oral Thrush)
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา:
การติดเชื้อแคนดิดาที่คอหอยส่วนปากสำหรับผู้ป่วยที่อายุ 5 ปีขึ้นไป: 2.5 มก./กก. รับประทานวันละสองครั้ง
คำแนะนำ:
- ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ สมาคมโรคติดเชื้อแห่ง สหรัฐอเมริกา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็ก และสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา สำหรับผู้ป่วยที่เปิดรับเชื้อเอชไอวีและเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี:
การติดเชื้อแคนดิดาที่คอหอยส่วนปากและดื้อต่อยาฟลูโคนาโซล: 2.5 มก./กก. รับประทานวันละสองครั้ง
ขนาดยาสูงสุด: 400 มก./วัน
ระยะเวลาในการรักษา: 7 ถึง 14 วัน
การป้องกันแบบทุติยภูมิ: 2.5 มก./กก. รับประทานวันละสองครั้ง
- ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษาสำหรับการติดเชื้อที่ดื้อต่อยาฟลูโคนาโซล
- ไม่แนะนำให้ทำเป็นการป้องกันแบบทุติยภูมิเป็นประจำ
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวี:
การติดเชื้อแคนดิดาที่คอหอยส่วนปาก (การรักษาช่วงแรก): 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: 7 ถึง 14 วัน
การป้องกันแบบทุติยภูมิ (รักษาเพื่อกดอาการ): 200 มก. รับประทานวันละครั้ง
คำแนะนำ:
- ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษาโดยการรับประทานยา
- ไม่แนะนำให้ทำเป็นการป้องกันแบบทุติยภูมิเป็นประจำ
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาการติดเชื้อแคนดิดาที่หลอดอาหาร (Esophageal Candidiasis)
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา:
5 ปีขึ้นไป: 2.5 มก./กก. รับประทานวันละสองครั้ง
คำแนะนำ:
- ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ สมาคมโรคติดเชื้อแห่ง สหรัฐอเมริกา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็ก และสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา สำหรับผู้ป่วยที่เปิดรับเชื้อเอชไอวีและเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี: 2.5 มก./กก. รับประทานวันละสองครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: อย่างน้อย 3 สัปดาห์และอย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังจากแก้อาการได้แล้ว
คำแนะนำ:
- ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- แนะนำเป็นการรักษาที่ควรเลือกใช้
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวี:
ระยะเวลาในการรักษา: 14 ถึง 21 วัน
คำแนะนำ:
- ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- แนะนำเป็นการรักษาที่ควรเลือกใช้
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคค็อกสิดิออยโดไมโคสิส (Coccidioidomycosis)
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ สมาคมโรคติดเชื้อแห่ง สหรัฐอเมริกา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็ก และสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา สำหรับผู้ป่วยที่เปิดรับเชื้อเอชไอวีและเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี:
การติดเชื้อที่ไม่ใช่ที่เยื่อหุ้มสมองระดับเบาถึงปานกลาง เช่นโรคปอมบวมเฉพาะที่: 2 ถึง 5 มก./กก. รับประทานวันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 3 วันตามด้วย 2 ถึง 5 มก./กก. รับประทานวันละสองครั้ง
ขนาดยาสูงสุด: 200 มก./ครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: ขึ้นอยู่กับการตอบสนองทางการแพทย์
รักษาเพื่อกดอาการตลอดชีพ (การป้องกันแบบทุติยภูมิ): 2 ถึง 5 มก./กก. รับประทานวันละสองครั้ง
ขนาดยาสูงสุด: 200 มก./ครั้ง
คำแนะนำ:
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษาสำหรับการป้องกันแบบทุติยภูมิและการติดเชื้อที่ไม่ใช่ที่เยื่อหุ้มสมองระดับเบาถึงปานกลาง
- เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่การหายใจไม่พอ (respiratory compromise) เนื่องจากการติดเชื้อที่ไม่ใช่ที่เยื่อหุ้มสมองที่ลุกลามในปอดหรือแบบลุกลามรวมทั้งการรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บีเข้าหลอดเลือดดำ หลังจากที่ผู้ป่วยอาการทรงตัวให้ใช้ยาเอโซล (azole) (ยานี้เหมาะสำหรับการติดเชื้อที่กระดูก) มาใช้ทดแทนและดำเนินการรักษาต่อเนื่องเป็นเวลาทั้งหมด 1 ปี ผู้เชี่ยวชาญบางรายอาจจะเริ่มใช้ยาเอโซลขณะที่กำลังรักษาด้วยยาแอมโฟเทอริซิน บี
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวี:
การติดเชื้อระดับเบา เช่นโรคปอมบวมเฉพาะที่ (focal pneumonia): 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
การติดเชื้อที่ไม่ใช่ที่เยื่อหุ้มสมองระดับรุนแรง (ภายในปอดแบบลุกลามหรือผู้ป่วยหนักที่ป่วยเป็นโรคแบบลุกลามที่ทางเดินหายใจนอก (extrathoracic disseminated disease) – ระยะเฉียบพลัน: 400 มก. รับประทานวันละครั้ง
การติดเชื้อภายในเยื่อหุ้มสมอง: 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
รักษาเพื่อกดอาการเรื้อรัง (การป้องกันแบบทุติยภูมิ): 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
คำแนะนำ:
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษาสำหรับการติดเชื้อระดับเบาและรักษาเพื่อกดอาการเรื้อรัง
- เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสมสำหรับการติดเชื้อที่ไม่ใช่ที่เยื่อหุ้มสมองระดับรุนแรง รวมทั้งการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี เข้าหลอดเลือดดำจนกระทั่งมีอาการความก้าวหน้าทางการแพทย์ ตามด้วยยาไตรเอโซล (triazole) เป็นทางเลือกในการรักษาผู้เชี่ยวชาญบางรายอาจเพิ่มยาไตรเอโซล (ยานี้เหมาะสำหรับโรคกระดูก) เพิ่มในการรักษาด้วยยาแอมโฟเทอริซิน บี และใช้ยาไตรเอโซลอย่างต่อเนื่องหลังจากหยุดใช้ยาแอมโฟเทอริซิน บี
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษาสำหรับการติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง ควรมีการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อคริปโตค็อกคัส (Cryptococcal Meningitis) – ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ สมาคมโรคติดเชื้อแห่ง สหรัฐอเมริกา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็ก และสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา สำหรับผู้ป่วยที่เปิดรับเชื้อเอชไอวีและเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี:
การรักษาร่วมกันสำหรับการติดเชื้อที่ระบบประสาทส่วนกลาง: 2.5 ถึง 5 มก./กก. รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน ตามด้วย 5 ถึง 10 มก./กก./วัน แบ่งรับประทาน 1 หรือ 2 ครั้ง
ขนาดยาสูงสุด:
- ขนาดยาเริ่มต้น: 200 มก./ครั้ง
- ขนาดยาปกติ: 400 มก./วัน
ระยะเวลาในการรักษา: อย่างน้อย 8 สัปดาห์
คำแนะนำ:
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษา ควรเลือกใช้ยาฟลูโคนาโซล
- ควรเลือกใช้ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- Consolidation therapy should begin after at least 2 weeks of successful induction therapy and should be followed by secondary prophylaxis.
- ควรเริ่มต้นการรักษาร่วมกันหลังจากการรักษาหลักอย่างแรกอย่างน้อย 2 สัปดาห์และควรตามด้วยการป้องกันแบบทุติยภูมิ
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวี:
การรักษาร่วมกัน: 200 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
ระยะเวลาในการรักษา: อย่างน้อย 8 สัปดาห์
คำแนะนำ:
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษา ควรเลือกใช้ยาฟลูโคนาโซล
- ควรเริ่มต้นการรักษาร่วมกันหลังจากการรักษาหลักอย่างแรก อย่างน้อย 2 สัปดาห์และควรตามด้วยการรักษาตามปกติ
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาการติดเชื้อแคนดิดาในช่องคลอด (Vaginal Candidiasis)
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวี:
การติดเชื้อแคนดิดาในช่องคลอดที่ไม่ซับซ้อน: รับประทานวันละ 200 มก. เป็นเวลา 3 ถึง 7 วัน
คำแนะนำ:
- ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
- แนะนำเป็นทางเลือกในการรักษา
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคไมโครสปอริดิโอซิส (Microsporidiosis)
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวี:
การติดเชื้อที่ลุกลามเนื่องจากเชื้อเทรคิปเลอิสโทฟอร่าหรือเชื้อแอนคาลิเอีย: รับประทานวันละ 400 มก.
คำแนะนำ:
- ยานี้อาจมีประโยชน์เมื่อใช้ร่วมกับยาอัลเบนดาโซล
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคสปอโรทริโคสิส (Sporotrichosis)
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกาสำหรับเด็ก:
การติดเชื้อที่ผิวหนังหรือต่อมน้ำเหลือง: รับประทานวันละ 6 ถึง 10 มก./กก.
- ขนาดยาสูงสุด: 400 มก./วัน
การติดเชื้อที่ลุกลาม (หลังจากที่เริ่มต้นรักษาด้วยการฉีดยาแอมโฟเทอริซิน บี เข้าหลอดเลือดดำ): รับประทานวันละ 6 ถึง 10 มก./กก.
- ขนาดยาสูงสุด: 400 มก./วัน
คำแนะนำ:
- แนะนำเป็นการรักษาที่เหมาะสม
- ควรเลือกใช้ยาสารละลายสำหรับรับประทาน
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาเชื้อราบนหนังศีรษะ (Tinea Capitis)
การรักษาอย่างต่อเนื่อง:
- เชื้อสายพันธุ์ไทรโคไฟทอน ทอนซูแรน (Trichophyton tonsurans) และเชื้อสายพันธุ์ทีไวโอเลเซียม (T violaceum species) อย่างเอ็นโดทริกซ์ (endothrix): 5 มก./กก./วัน รับประทานเป็นเวลา 2 ถึง 4 สัปดาห์
- เชื้อสายพันธุ์ไมครอสโพรัม แคนนิส (Microsporum canis species) อย่างเอ็กโททริกซ์ (ectothrix) :5 มก./กก./วัน รับประทานเป็นเวลา 4 ถึง 6 สัปดาห์
การรักษาเป็นช่วงๆ:
- เชื้อสายพันธุ์ไทรโคไฟทอน ทอนซูแรน เชื้อสายพันธุ์ทีไวโอเลเซียมอย่างเอ็นโดทริกซ์ และเชื้อสายพันธุ์ไมครอสโพรัม แคนนิส อย่างเอ็กโททริกซ์: 5 มก./กก./วัน รับประทานเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ตามด้วยช่วงพักการรักษา 3 สัปดาห์
คำแนะนำ:
- แนะนำยารูปแบบแคปซูลสำหรับการรักษาเป็นช่วงๆ
- ควรมีการประเมินผู้ป่วยในสัปดาห์ที่ 4 หลังจากเริ่มการรักษาเพื่อดูการตอบสนองทางการแพทย์ หากยังคงเหลือเชื้อราที่หนังศีรษะอยู่ อาจต้องทำการรักษาเป็นช่วงๆ เพิ่มเติมจนถึงการรักษาสูงสุด 3 รอบการรักษา
รูปแบบของยา
ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้
- ยาแคปซูลสำหรับรับประทาน
- ยาเม็ดสำหรับรับประทาน
- ยาผงสำหรับผสม
- สารละลายสำหรับรับประทาน
- ชุดอุปกรณ์สำหรับฉีดยาเข้าหลอดเลือด
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]