ปวดลูกอัณฑะ เป็นอาการที่พบได้ในผู้ชายซึ่งป่วยเป็นโรคหรือมีภาวะผิดปกติเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ เบื้องต้น ผู้ป่วยสามารถดูแลตัวได้ด้วยการรับประทานยาแก้ปวดหรือประคบเย็นบริเวณลูกอัณฑะ อย่างไรก็ตาม หากปวดลูกอัณฑะร่วมกับมีอาการอื่น ๆ เช่น มีไข้ ปวดท้องน้อย ควรไปพบคุณหมอ เพื่อรับการวินิจฉัยสาเหตุของโรค และรับการรักษาที่เหมาะสม
[embed-health-tool-heart-rate]
ปวดลูกอัณฑะ เกิดจากอะไร
ปวดลูกอัณฑะ มักเป็นอาการสืบเนื่องจากความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ อันมีสาเหตุจากโรคหรือภาวะสุขภาพดังต่อไปนี้
ปวดลูกอัณฑะเนื่องจากอัณฑะอักเสบ
อัณฑะอักเสบ เป็นโรคซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณหลอดเก็บตัวอสุจิ และเป็นอาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่างหนองในหรือหนองในเทียม นอกจากนี้ อัณฑะอักเสบยังเกิดได้จากการติดเชื้อไวรัสโรคคางทูม ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคคางทูม จะเสี่ยงเป็นอัณฑะอักเสบมากกว่าคนที่เคยฉีดวัคซีนแล้ว
โดยทั่วไป อัณฑะอักเสบมักเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน โดยผู้ป่วยจะปวดลูกอัณฑะข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง ร่วมกับมีอาการป่วยอื่น ๆ เช่น มีไข้ ปวดหัว อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็ว
วิธีรักษาอัณฑะอักเสบ
อัณฑะอักเสบรักษาได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
- รับประทานยาปฏิชีวนะ เพื่อต้านเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค ควบคู่กับการรับประทานยาแก้อักเสบ เพื่อลดอาการปวดลูกอัณฑะหรือลูกอัณฑะบวม
- ประคบเย็น สามารถทำได้ด้วยตนเองโดยประคบเย็นบริเวณลูกอัณฑะเป็นเวลา 15-20 นาที/ครั้ง วันละประมาณ 3-4 ครั้ง
- เลือกชนิดชุดชั้นในให้เหมาะสม ควรสวมใส่กางเกงในสำหรับการออกกำลังกายซึ่งมักทำจากผ้าฝ้าย เพื่อป้องกันลูกอัณฑะอักเสบหรือระคายเคือง รวมทั้งช่วยกระชับลูกอัณฑะไม่ให้กระทบกระเทือนจนเกินไปขณะเคลื่อนไหวร่างกาย
ปวดลูกอัณฑะเนื่องจากอัณฑะบิดตัว
อัณฑะบิดตัว หมายถึง การบิดหรือรั้งของลูกอัณฑะที่ผิดปกติ ส่งผลให้สายรั้งอัณฑะซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวส่งผ่านเลือดมาเลี้ยงลูกอัณฑะบิดจากองศาปกติตามธรรมชาติจนอาจทำให้เกิดการตีบตัน ส่งผลให้เลือดไม่ไหลลงมาเลี้ยงอัณฑะ จนเกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ตามมา อาทิ
- การปวดลูกอัณฑะและถุงอัณฑะ
- ปัสสาวะบ่อย
- ปวดท้องน้อย
- ลูกอัณฑะขยับขึ้นเหนือตำแหน่งเดิม
โดยทั่วไป อัณฑะบิดตัวมักเกิดจากสายรั้งอัณฑะและเนื้อเยื่อที่คลุมลูกอัณฑะผิดปกติโดยกำเนิด ซึ่งส่งผลให้ลูกอัณฑะบิดตัวง่ายผิดปกติและปวดลูกอัณฑะได้
อัณฑะบิดตัวพบได้ในเพศชายทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะอายุระหว่าง 12-18 ปี โดยมักเกิดหลังจากออกกำลังกาย
นอกจากนี้ ผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นอัณฑะบิดตัวมาก่อน มีแนวโน้มที่จะเป็นอัณฑะบิดตัวมากกว่าคนทั่วไป
วิธีรักษาอัณฑะบิดตัว
อัณฑะบิดตัวรักษาได้ด้วยการผ่าตัดบริเวณถุงอัณฑะ เพื่อบิดลูกอัณฑะกลับสู่ตำแหน่งเดิม และคลายสายรั้งลูกอัณฑะซึ่งตีบจากการบิดตัว
ทั้งนี้ เมื่อมีอาการที่อาจเข้าข่ายว่าเป็นอัณฑะบิดตัว ควรรีบไปพบคุณหมอ เพราะหากอัณฑะบิดตัวนานเกิน 6 ชั่วโมง จะยิ่งรักษาอาการป่วยได้ยากขึ้น หรือคุณหมออาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดนำลูกอัณฑะออกจากร่างกาย แทนการผ่าตัดบิดลูกอัณฑะกลับเข้าที่
ปวดลูกอัณฑะเนื่องจากไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบ
ไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบ หมายถึง ภาวะที่ลำไส้ยื่นออกจากช่องท้อง และมากองอยู่บริเวณขาหนีบ ทำให้พบเป็นก้อนนูนบริเวณขาหนีบ ซึ่งจะเห็นชัดเมื่อยืนหรือเดิน ทั้งนี้ ไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบอาจทำให้ปวดลูกอัณฑะได้โดยเฉพาะในกรณีส่วนปลายของลำไส้ไหลจากขาหนีบลงมายังถุงอัณฑะ
สาเหตุของไส้เลื่อนที่ขาหนีบ คือ ผนังหน้าท้องบางลงเนื่องจากอายุที่มากขึ้น และความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นทำให้ไส้เลื่อนได้
วิธีรักษาไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบ
เมื่อเป็นไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบ คุณหมอจะรักษาโดยการผ่าตัดบริเวณขาหนีบ เพื่อดันลำไส้กลับเข้าไปในช่องท้อง แล้วเย็บปิดส่วนที่เป็นรู จากนั้นเย็บเสริมความแข็งแรงหน้าท้องบริเวณดังกล่าว เพื่อป้องกันไส้เลื่อนเกิดซ้ำ
ปวดลูกอัณฑะเนื่องจากหลอดเก็บอสุจิบวม
หลอดเก็บอสุจิบวม หมายถึง การพบถุงน้ำในหลอดเก็บอสุจิ หรือท่อด้านหลังลูกอัณฑะทั้ง 2 ข้าง ซึ่งทำหน้าที่ลำเลียงอสุจิไปยังหลอดนำอสุจิ
สาเหตุที่ทำให้หลอดอสุจิบวมยังไม่แน่ชัด โดยทางการแพทย์สันนิษฐานว่าเกิดจากการอุดตันของหลอดเก็บอสุจิ ไม่เกี่ยวกับโรคมะเร็งแต่อย่างใด
ทั้งนี้ อาการของหลอดเก็บอสุจิบวม คือ ปวดลูกอัณฑะ และรู้สึกว่าลูกอัณฑะหนักกว่าปกติ
วิธีรักษาหลอดเก็บอสุจิบวม
วิธีรักษาหลอดเก็บอสุจิบวม ได้แก่
- การผ่าตัด ภายใต้ฤทธิ์ของยาชา โดยคุณหมอจะกรีดถุงอัณฑะแล้วผ่านำถุงน้ำออกจากหลอดเก็บอสุจิ อย่างไรก็ตาม หากภาวะหลอดเก็บอสุจิบวมไม่ทำให้ผู้ป่วยปวดลูกอัณฑะ คุณหมออาจไม่แนะนำให้ผ่าตัด
- การรับประทานยาแก้ปวด เช่น ยาอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เพื่อลดอาการปวดบวมของลูกอัณฑะ
ปวดลูกอัณฑะ เนื่องจากถุงน้ำลูกอัณฑะบวม
ถุงน้ำลูกอัณฑะ เป็นการบวมของถุงอัณฑะเนื่องจากของเหลวที่สะสมอยู่ข้างในเพิ่มปริมาณมากขึ้น จนอาจทำให้ปวดลูกอัณฑะ ทั้งนี้ ถุงอัณฑะจะบวมน้อยในตอนเช้าและบวมมากขึ้นระหว่างวัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด อาจเกิดจากการอักเสบหรือบาดเจ็บของลูกอัณฑะ
ภาวะนี้พบได้ทั้งในเด็กแรกเกิดและผู้ใหญ่ โดยในกรณีของเด็กแรกเกิด จะเป็นภาวะโดยกำเนิด ซึ่งพบได้บ่อยหรือในทารกชายร้อยละ 10 และสามารถหายเองได้เมื่อเด็กอายุครบ 1 ปี
ในกรณีของผู้ใหญ่ ถุงน้ำลูกอัณฑะอาจเป็นผลมาจากการอักเสบหรือติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์เพศชาย รวมถึงอาจเกิดจากเนื้องอกบริเวณอัณฑะ ซึ่งเป็นอาการของมะเร็งอัณฑะ
โดยปกติถุงน้ำลูกอัณฑะไม่ใช่โรคอันตราย และอาจไม่ทำให้ผู้ป่วยปวดลูกอัณฑะ ยกเว้นในกรณีพบของเหลวสะสมในถุงอัณฑะปริมาณมาก
วิธีการรักษาถุงน้ำลูกอัณฑะ
โดยปกติ ถุงน้ำลูกอัณฑะมักจะหายไปเองในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี หากเกิน 1 ปีแล้วถุงน้ำลูกอัณฑะไม่หายไป ควรไปพบคุณหมอ ซึ่งอาการนี้รักษาได้ด้วยการผ่าตัดบริเวณหน้าท้องหรือถุงอัณฑะเพื่อระบายของเหลวออกมา รวมถึงการเจาะถุงอัณฑะแล้วใช้หลอดฉีดยาดูดของเหลวที่คั่งอยู่บริเวณถุงอัณฑะมากจนเกินไปออกมา
ปวดลูกอัณฑะ ควรดูแลตัวเองอย่างไร
เมื่อปวดลูกอัณฑะอาจดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้
- ประคบเย็นด้วยถุงประคบ หรือน้ำแข็งที่ห่อด้วยผ้าสะอาด
- สวมชั้นในผ้าฝ้ายสำหรับออกกำลังกาย เพื่อช่วยประคองถุงอัณฑะ ลดการกระทบกระเทือนหรือทำให้ลูกอัณฑะระคายเคือง
- รับประทานยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวดหรือบวมของลูกอัณฑะ
หากดูแลตัวเองเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบคุณหมอ เพื่อรับการวินิจฉัยโรคและรักษาอย่างตรงจุด
ทั้งนี้ ผู้ที่ปวดลูกอัณฑะควรไปพบคุณหมอทันที หากอาการที่เป็นอยู่เกิดร่วมกับอาการอื่น ๆ ดังนี้
- มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน
- ถุงอัณฑะบวมแดง หรือเมื่อสัมผัสถุงอัณฑะแล้วรู้สึกอุ่นจนถึงร้อนจัด
- อาการปวดรุนแรงขึ้นเฉียบพลัน
- มีอาการบาดเจ็บหรือเป็นแผลบริเวณลูกอัณฑะ