ปากนกกระจอก คือ ภาวะอักเสบที่ทำให้เกิดแผลบริเวณมุมปากด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้ง 2 ด้าน โดยสาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อราที่มีชื่อเรียกว่า “แคนดิดา” รวมถึงสาเหตุอื่น ๆ อย่างการขาดสารอาหาร ริมฝีปากแห้ง ปัญหาโรคผิวหนัง เป็นต้น ส่งผลให้ริมฝีปากแห้ง แตก ลอก เกิดสะเก็ดแผลบริเวณมุมปาก อย่างไรก็ตาม โรคปากนกกระจอกอาจหายภายใน 2-3 วัน หรืออาจนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดปากนกกระจอกด้วย
คำจำกัดความ
ปากนกกระจอก คืออะไร
ปากนกกระจอก คือ ภาวะอักเสบที่ทำให้เกิดแผลที่มุมปาก โดยแผลจะมีลักษณะแตกเป็นร่องบริเวณมุมปากด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้ง 2 ด้าน สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อราแคนดิดา ซึ่งเป็นเชื้อราชนิดเดียวกับโรคผื่นผ้าอ้อมในเด็กทารก รวมถึงสาเหตุอื่น ๆ เช่น การขาดสารอาหารบางชนิด ริมฝีปากแห้ง ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการคันระคายเคืองบริเวณมุมปาก หรือรู้สึกปวดแสบร้อนบริเวณมุมปาก
โรคปากนกกระจอกอาจหายภายใน 2-3 วัน หรืออาจนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคโดยคุณหมอจะรักษาตามประเภทของเชื้อที่ทำให้เกิดโรคดังกล่าว เช่น รักษาด้วยยาต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย
อาการ
อาการของ ปากนกกระจอก
อาการของปากนกกระจอก จะมีลักษณะเป็นแผลบริเวณมุมปากด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้ง 2 สองด้าน รวมถึงอาการอื่น ๆ ดังนี้
- บริเวณมุมปากตึงขณะอ้าปาก
- ริมฝีปากแห้ง แตกเป็นขุยรอบมุมปาก
- รู้สึกปวดแสบร้อนบริเวณมุมปาก
- รอยแผลแตก แห้ง ที่มุมปาก
- แผลพุพองบริเวณมุมปาก
- มีเลือดออก
สาเหตุ
สาเหตุที่อาจทำให้เกิดปากนกกระจอก
สาเหตุที่พบได้บ่อยของปากนกกระจอกมักเกิดจากการติดเชื้อราแคนดิดา ซึ่งเป็นเชื้อราชนิดเดียวกับเชื้อรากันที่ทำให้เกิดโรคผื่นผ้าอ้อมในเด็กทารก รวมถึงสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดโรคปากนกกระจอก มีดังนี้
- น้ำลายจากการเลียริมฝีปาก ถ้าน้ำลายที่สะสมบริเวณมุมปาก ถ้าแห้งจะทำให้ริมฝีปากแตกได้ และยิ่งเลียบริเวณมุมปากที่แห้งบ่อย ๆ อาจทำให้เชื้อราบริเวณดังกล่าวเติบโตและแบ่งเซลล์มากขึ้น ส่งผลให้ริมฝีปากเกิดการอักเสบ
- ขาดสารอาหารบางชนิด หากร่างกายได้รับวิตามินบี 2 ไม่เพียงพอ อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคปากนกกระจอกได้
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของ ปากนกกระจอก
ปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงเป็นปากนกกระจอกอาจ มีดังต่อไปนี้
- ริมฝีปากแห้งและแตก หากริมฝีปากแห้งจนแตกอาจทำให้เชื้อไวรัส เชื้อแบคที และยีสต์ เจริญเติบโต
- ขาดสารอาหาร เช่น วิตามินบี 2 ธาตุเหล็ก
- จัดฟันหรือดัดฟัน การจัดฟันหรือดัดฟันอาจทำให้น้ำลายล้นออกมานอกปากสะสมอยู่บริเวณมุมปาก ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคปากนกกระจอกได้
- ฟันปลอมหลวม การใส่ฟันปลอมที่ไม่พอดีกับขนาดปากอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคปากนกกระจอก
- ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี รวมถึงการใช้ยาสเตียรอยด์ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อราในช่องปาก
- ความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรม
- โรคอื่น ๆ เช่น โรคโลหิตจาง โรคเบาหวาน มะเร็งที่เกี่ยวกับเลือด มะเร็งตับอ่อน ไต ตับ ปอด
- สูบบุหรี่
- ผิวหย่อนคล้อย เช่น ผิวหย่อนคล้อยจากการลดน้ำหนักหรืออายุที่เพิ่มขึ้น
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยปากนกกระจอก
ในเบื้องต้นคุณหมอจะสอบถามประวัติและอาการของผู้ป่วย รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ที่อาจส่งผลให้เกิดโรคปากนกกระจอก เช่น การอักเสบบริเวณมุมปาก รอยแดง บวม แผล สะเก็ด
อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่าสาเหตุเกิดจากภาวะอื่น ๆ เช่น โรคเริมที่ริมฝีปาก และโรคไลเคนพลานัสในช่องปาก (ภาวะอักเสบเรื้อรังที่ส่งผลต่อเยื่อเมือกบุผิวในช่องปาก)
คุณหมออาจต้องเก็บตัวอย่างของเชื้อจากมุมปากและจมูกของผู้ป่วยเพื่อตรวจสอบว่าอาการป่วยเกิดจากเชื้อชนิดใดบ้าง
การรักษาปากนกกระจอก
สำหรับวิธีการรักษาโรคปากนกกระจอก คุณหมอจะรักษาตามประเภทของการติดเชื้อ เพื่อไม่ให้แผลบริเวณดังกล่าวกลับมาเป็นซ้ำอีก โดยมีวิธีการรักษา ดังต่อไปนี้
- รักษาด้วยยาต้านเชื้อรา จะใช้รักษาผู้ป่วยปากนกกระจอกซึ่งมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อรา เช่น ยาโคลไตรมาโซล ยาไนสแตนดิน ยาคีโตโคนาโซล ยาไมโคนาโซล
- รักษาด้วยยาต้านเชื้อแบคทีเรีย จะใช้รักษาผู้ป่วยปากนกกระจอกซึ่งมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ยามิวพิโรซิน ครีมขี้ผึ้ง หรือกรดฟูซิดิก
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือดูแลตนเอง
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือดูแลตนเองเพื่อป้องกันปากนกกระจอก
วิธีลดความเสี่ยงของโรคปากนกกระจอก มีดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการเลียริมฝีปากเมื่อปากแห้งหรือแตก
- ทาผลิตภัณฑ์บำรุงริมฝีปาก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ริมฝีปาก
- ดูแลสุขภาพช่องปากให้ถูกสุขอนามัย เช่น แปรงฟันเป็นประจำหลังรับประทานอาหารหรือแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อราในปาก
- ผู้ที่ใส่ฟันปลอม ควรเลือกฟันปลอมที่มีขนาดพอดีกับช่องปาก เนื่องจากน้ำลายอาจไหลออกมาสะสมบริเวณมุมปาก