backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

ปวดตา อาการ สาเหตุ และการรักษา

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 12/10/2021

ปวดตา อาการ สาเหตุ และการรักษา

ปวดตา หมายถึงอาการเจ็บตา หรือระคายเคืองที่ดวงตาหรือรอบ ๆ ดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้าง ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สายตามากเกินไป และปัจจัยอื่น ๆ เช่น เยื่อบุตาอักเสบ การติดเชื้อในดวงตา การดูแลดวงตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากมีอาการปวดตาอย่างต่อเนื่อง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดในทันที

คำจำกัดความ

ปวดตา คืออะไร

ปวดตา เป็นอาการเมื่อยล้าของดวงตาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการใช้งานดวงตาอย่างหนัก เช่น มองหน้าจอคอมพิวเตอร์หรืออ่านหนังสือเป็นเวลานาน หรืออาจเป็นอาการของโรคอื่น ๆ เช่น เยื่อบุตาอักเสบ การติดเชื้อในดวงตา

โดยส่วนใหญ่แล้วอาการปวดตามักจะไม่ส่งผลรุนแรง และอาจเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วคราว หากหยุดพักสายตาสักระยะอาการก็อาจบรรเทาลงได้ แต่หากมีอาการปวดตาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคอื่น ควรเข้ารับการตรวจดวงตาเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด และทำการรักษาให้เร็วที่สุด

อาการ

อาการปวดตา

อาการปวดตา สามารถสังเกตได้จากสัญญาณเตือน ดังต่อไปนี้

  • แสบตา เจ็บตา และคันตา
  • ตาแดง ตาแห้ง หรือตาแฉะ
  • น้ำตาไหล เนื่องจากต่อมน้ำตาอาจผลิตน้ำตาออกมา เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นของดวงตา
  • ปวดศีรษะ คอ ไหล่ และหลัง อาจเป็นเพราะจากการนั่ง หรืออยู่ในท่าเดิมนาน ๆ
  • มองเห็นวัตถุสิ่งรอบตัวเป็นภาพซ้อน
  • ตาไวต่อแสง
  • ลืมตายากขึ้น

อาการปวดตาระดับรุนแรง ที่ควรเข้าพบคุณหมอ ได้แก่

  • มีไข้ขึ้นสูง
  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
  • อาเจียน
  • เปลือกตาบวมแดง
  • รูม่านตาไม่ตอบสนองต่อแสง และตาไวต่อแสงผิดปกติ
  • การมองเห็นเปลี่ยนแปลง หรือสูญเสียการมองเห็นกะทันหัน
  • เห็นรัศมีรอบดวงไฟ
  • ลืมตาไม่ขึ้น
  • มีเลือดออกจากดวงตา

สาเหตุ

สาเหตุที่ทำให้ปวดตา

ส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการใช้สายตาเป็นเวลานาน เช่น การนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลอื่น ๆ เนื่องจากการสนใจในสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจอเป็นเวลานาน อาจทำให้กะพริบตาได้น้อยลง ทำให้ดวงตาแห้ง ขาดความชุ่มชื้น รวมถึงแสงบนหน้าจอที่สว่างจ้าจนเกินไป ก็อาจส่งผลให้รู้สึกปวดตาได้เช่นเดียวกัน

นอกจากนี้อาการปวดตา อาจมาจากปัญหาเกี่ยวข้องกับภาวะต่าง ๆ ได้แก่

  • สิ่งแปลกปลอมเข้าตา หากมีสิ่งสกปรกเข้าดวงตา อาจทำให้ดวงตาระคายเคือง เสี่ยงต่อการเกิดรอยบนกระจกตาได้
  • เยื่อบุตาอักเสบ จากอาการแพ้ การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ส่งผลให้เส้นเลือดเยื่อบุตาบวม สังเกตได้จากบริเวณตาขาวเปลี่ยนเป็นสีแดง
  • การติดเชื้อในกระจกตา อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัส ที่ส่งผลให้กระจกตาอักเสบ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ถอดคอนแทคเลนส์ อาจเป็นการเพิ่มโอกาสการติดเชื้อได้มากขึ้น
  • เส้นประสาทตาอักเสบ การอักเสบของเส้นประสาทตา อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง หรือสูญเสียการมองเห็นได้
  • โรคต้อหิน อาจเกิดจากภายในดวงตามีระดับความดันสูง หรือของเหลวสะสมที่กระทบต่อเส้นประสาทตา หากปล่อยไว้เป็นเวลานานอาจทำให้การมองเห็นเปลี่ยนแปลง

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ปวดตา

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ปวดตา ได้แก่

  • อ่านหนังสือโดยไม่หยุดพักสายตา
  • พื้นที่ที่มีแสงจ้ามากเกินไป
  • ภาวะเครียด เหนื่อยล้า
  • การขับรถเดินทางไกล เพราะอาจต้องใช้สายตาในการมองทางเป็นเวลานาน
  • ดวงตาสัมผัสกับอากาศแห้งจากพัดลม เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำความร้อน
  • โรคตาอื่น ๆ เช่น ตาแห้ง ต้อหิน ปลอกประสาทตาอักเสบ การติดเชื้อที่รุนแรง

การวินิจฉัย และการรักษา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

การวินิจฉัยอาการปวดตา

คุณหมออาจสอบถามปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดตา เช่น อาการปวดตาเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ เกิดขึ้นกะทันหันหรือไม่ เคยใส่คอนแทคเลนส์หรือเปล่า และอาจตรวจสุขภาพตาโดยรวม พร้อมทดสอบการมองเห็นเบื้องต้น

การรักษาอาการปวดตา

การรักษาอาการปวดตาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ผู้ป่วยเป็น หรือปัจจัยสภาวะแวดล้อม แต่สำหรับพฤติกรรมการใช้สายตามากเกินไปจนเกิดอาการปวดตา อาจบริหารดวงตาได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • กะพริบตา

การกระพริบตาถี่ ๆ อาจช่วยกระตุ้นให้ดวงตาผลิตน้ำตาเพิ่มความชุ่มชื้น  และบรรเทาอาการแสบร้อนในตา หรือเจ็บตาจากอาการตาแห้ง

  • การกลอกตา

การกลอกตาแบบหมุนรอบดวงตา เป็นการฝึกสายตาที่อาจช่วยคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อดวงตา โดยกลอกตาเบา ๆ ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แล้วจึงค่อยกลอกตาย้อนกลับไปอีกทาง ซึ่งสามารถทำได้ 3-5 ครั้ง ต่อชั่วโมง

  • เปลี่ยนจุดโฟกัส

เมื่อจ้องมองทิศทางเดียวเป็นเวลานาน อาจทำให้เริ่มมีอาการปวดตา และเจ็บตาได้ ดังนั้นจึงควรฝึกการเปลี่ยนจุดโฟกัสดวงตา ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ คือ

  1. นำนิ้วมือมาวางบริเวณหน้าจมูก แล้วใช้สายตามองตามนิ้ว โดยที่นิ้วค่อย ๆ เลื่อนออกห่างจากใบหน้าจนสุดแขน
  2. เมื่อยืดจนสุดแขนแล้วให้ใช้สายตามองผ่านนิ้วไปยังวัตถุที่ไกลออกไปสักครู่ แลวมองกลับมาที่นิ้วดังเดิม
  3. เลื่อนนิ้วกลับมาใกล้ใบหน้าอีกครั้ง โดยที่สายตายังคงมองนิ้วอยู่ตลอด จนกว่านิ้วจะแตะที่ปลายจมูก จากนั้นให้มองไปยังวัตถุที่อยู่อีกด้านสักพัก และกลับมามองนิ้วอีกครั้งดังเดิม ควรทำ 3 ขั้นตอน ประมาณ 3 ครั้ง ก็อาจสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดตาได้
  4. นำมือปิดตา เป็นวิธีง่าย ๆ ที่อาจช่วยบรรเทาอาการเมื่อยล้าดวงตา โดยเริ่มจากการใช้ฝ่ามือปิดตา ทั้งสองข้างเบา ๆ ไม่กดทับดวงตา เป็นเวลา 30-60 วินาที

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอาการปวดตา

หากไม่อยากเผชิญกับอาการปวดตา ตาล้า ควรดูแลดวงตาด้วยวิธี ดังต่อไปนี้

  • เลือกรับประทานอาการเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารที่ประกอบด้วยโอเมก้า 3 ลูทีน สังกะสี วิตามินซี และวิตามินอี เช่น ผักใบเขียว ผลไม้  ไข่ ถั่ว แซลมอน
  • พักสายตาจากการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เป็นเวลานาน ป้องกันอาการตาแห้ง ตาพร่า
  • สวมใส่แว่นกันแดด เพื่อป้องกันรังสียูวีที่อาจทำร้ายดวงตา
  • เข้ารับการตรวจสุขภาพตา เช็กสายตาจากจักษุแพทย์สม่ำเสมอ

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 12/10/2021

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา