ฉีดยาคุมตอนไหน ? เป็นคำถามที่หลายคนอาจสงสัย เพราะการฉีดยาคุมอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันการตั้งครรภ์ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่พร้อมมีบุตร อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาข้อดีและข้อเสียของการฉีดยาคุมอย่างละเอียด และควรเข้ารับการตรวจสุขภาพและขอคำแนะนำจากคุณหมอก่อนรับการฉีดยาคุม
[embed-health-tool-ovulation]
ยาคุมกำเนิดแบบฉีด คืออะไร
ยาคุมกำเนิดแบบฉีด คือ ยาคุมที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อในบริเวณต้นแขน ต้นขา หรือสะโพก โดยมีส่วนประกอบของฮอร์โมนในกลุ่มโปรเจสติน (Progestins) หรือฮอร์โมนในกลุ่มเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสติน (Progestins) ที่อาจช่วยยับยั้งการตกไข่ ทำให้มดลูกหนาตัว และส่งผลให้อสุจิผ่านเข้าไปผสมกับไข่ได้ยาก อีกทั้งยังทำให้ผนังมดลูกบางลงจนไข่ที่ผสมกับอสุจิไม่สามารถฝังตัว จนเกิดเป็นการตั้งครรภ์ได้
ฉีดยาคุมตอนไหน จึงจะเหมาะสม
สำหรับการฉีดยาคุมกำเนิดในประเทศไทย สามารถเข้ารับการฉีดยาคุมได้เมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป สำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 อาจจำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองก่อน โดยช่วงระยะเวลาการฉีดยาคุมอาจแตกต่างกันออกไปตามชนิดของยาคุม ดังนี้
ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียว
- ยาฉีดเมดรอกซีโปรเจสเทอโรนแอซีเตตชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (DMPA) เป็นยาคุมกำเนิดแบบฉีด 3 เดือน มีตัวยา 150 มิลลิกรัม ซึ่งคุณหมออาจฉีดให้ครั้งละ 1 มิลลิลิตร ออกออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้นาน 14-15 สัปดาห์ โดยกำหนดให้ฉีดทุก ๆ 12 สัปดาห์ ยานี้อาจส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ประจำเดือนมากะปริบกะปรอย
- ยาฉีดเมดรอกซีโปรเจสเทอโรนแอซีเตตชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (DMPA-SC) เป็นยาคุมกำเนิดแบบฉีด 3 เดือน มีตัวยา 104 มิลลิกรัม โดยคุณหมออาจฉีดในปริมาณ 0.65 มิลลิลิตร ทุก ๆ 12 สัปดาห์
- ยาฉีดนอร์เอทิสเตอโรนอีแนนเทต (Norethisterone enanthate) ชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เป็นยาคุมกำเนิดแบบฉีด 3 เดือน มีตัวยา 200 มิลลิกรัม โดยคุณหมออาจฉีดในปริมาณ 1 มิลลิลิตร ทุก ๆ 8 สัปดาห์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดในระยะสั้น เช่น ช่วงระหว่างรอทำหมัน ยานี้อาจส่งผลให้มีอาการปวดบริเวณที่ฉีดยาคุม
ยาคุมกำเนิดฮอร์โมนรวม
เป็นยาคุมกำเนิดที่มีทั้งฮอร์โมนโปรเจสตินและฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก ๆ 1 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกจะรับประทานยาคุมกำเนิดแบบเม็ดและผู้ที่ลืมรับประทานยาคุมกำเนิดบ่อยครั้ง
สำหรับสตรีที่อยู่ในช่วงหลังคลอดบุตรและเว้นจากการให้นมบุตร อาจเข้ารับการฉีดยาคุมครั้งแรกได้ทุกเมื่อ แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการฉีดยาคุมอาจอยู่ในช่วงหลัง 6 สัปดาห์ สำหรับคุณแม่ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร การฉีดยาคุมกำเนิดอาจมีผลข้างเคียง คือ ทำให้น้ำนมลดลง ฉะนั้นควรเลือกคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น เช่น การใช้ถุงยางอนามัย
สำหรับสตรีที่แท้งบุตร สามารถเข้ารับการฉีดยาคุมได้ทันที และไม่ควรเกิน 5 วันหลังจากแท้งบุตร หากเกินกว่า 5 วัน อาจจำเป็นต้องใช้วิธีป้องกันการตั้งครรภ์อื่นร่วมด้วยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เช่น สวมถุงยางอนามัย หากมีความกังวลเกี่ยวกับการฉีดยาคุมในช่วงหลังคลอดบุตรและหลังแท้งบุตร อาจเข้ารับการตรวจสุขภาพจากคุณหมอ เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับการฉีดยาคุมและช่วงเวลาฉีดยาคุมที่เหมาะสม
ข้อดีและข้อเสียของการฉีดยาคุมกำเนิด
ข้อดีและข้อเสียของการฉีดยาคุมกำเนิด มีดังนี้
ข้อดี
- มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง โดยอาจมีอัตราล้มเหลวประมาณ 2-0.3% และออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้นานประมาณ 1-3 เดือน ตามชนิดของยาที่ฉีด
- ไม่รบกวนการมีเพศสัมพันธ์
- สะดวกกว่าการรับประทานยาคุมกำเนิดแบบเม็ด ที่จำเป็นต้องรับประทานในเวลาเดียวกันทุกวัน
ข้อเสีย
- บางคนอาจหลงลืมกำหนดการฉีดยาคุม เนื่องจากกว่าจะได้ฉีดยาคุมในครั้งถัดไปอาจใชเวลานาน
- อาจเสียเวลาในการเดินทางเข้ามารับการฉีดยาคุมที่สถานบริการ
- หลังจากหยุดฉีดยาคุมบางชนิด เช่น Depot medroxyprogesterone acetate หรือ DMPA ซึ่งเป็นยาคุมกำเนิดแบบฉีดที่มีฮอร์โมนโพรเจสตินอย่างเดียว อาจใช้ระยะเวลานานประมาณ 1 ปี หรือมากกว่านั้น กว่าจะกลับมาตั้งครรภ์ได้อีกครั้ง
อาจมีผลข้างเคียง เช่น ปวดกล้ามเนื้อและผิวหนังในบริเวณที่ฉีดยาคุม ผมร่วง ปวดศีรษะ สิวขึ้น ความต้องการทางเพศลดลง อารมณ์แปรปรวน ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือประจำเดือนอาจขาดเป็นเวลานาน