ฝังเข็มยาคุม เป็นการคุมกำเนิดในระยะยาวสำหรับผู้หญิง โดยนำแท่งพลาสติกยืดหยุ่นได้ขนาดประมาณไม้ขีดไฟ ซึ่งประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ที่เรียกว่า อีโตโนเกสเตรล (Etonogestrel) ฝังเข้าไปบริเวณใต้ท้องแขนด้านบน อาจมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ประมาณ 3-5 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่ลืมรับประทานยาคุมกำเนิดบ่อย ๆ
[embed-health-tool-ovulation]
ฝังเข็มยาคุม คืออะไร
ฝังเข็มยาคุม คือ การนำแท่งพลาสติกที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนฝังเข้าบริเวณใต้ท้องแขนด้านบน โดยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะค่อย ๆ ซึมผ่านออกมาจากแท่งพลาสติกเข้าสู่กระแสเลือดในปริมาณต่ำและสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการตกไข่ในแต่ละรอบเดือน รวมถึงทำให้มูกบริเวณปากมดลูกเหนียวข้น ส่งผลให้อสุจิเคลื่อนที่ไปปฏิสนธิกับไข่ได้ยากขึ้น และยังทำให้ผนังเยื่อบุมดลูกบางลง จึงไม่เหมาะกับการฝังตัวของตัวอ่อน ส่งผลให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้น้อยลง
ขั้นตอนการฝังเข็มยาคุม
การฝังเข็มยาคุมกำเนิด ควรทำในช่วงมีประจำเดือน 5 วันแรก เพื่อจะได้แน่ใจว่าไม่ได้กำลังตั้งครรภ์ รวมถึงเพื่อให้ยาที่ฝังมีผลในการป้องกันทันที การฝังเข็มยาคุมใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที โดยขั้นตอนอาจมีดังนี้
- ตรวจร่างกาย
- เช็ดทำความสะอาดผิวหนังด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
- ฉีดยาชาบริเวณจุดฝังเข็มยาคุม
- ใช้เข็มเปิดแผลและสอดแท่งที่มีหลอดยาบรรจุไปในบริเวณใต้ท้องแขน
- ทำการปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ ตามด้วยผ้าพันแผล
หลังจากฝังเข็มยาคุมสามารถถอดผ้าพันแผลออกได้ภายใน 24 ชั่วโมง แต่ควรปิดแผลด้วยพลาสเตอร์กันน้ำเอาไว้ 3-5 วัน เพื่อรักษาความสะอาด และรอให้ยาคุมแบบฝังเข้าที่ และควรไปหาคุณหมอตามกำหนด เพื่อตรวจดูแผลที่ฝังยาและติดตามผล การฝังเข็มยาคุมสามารถอยู่ได้ประมาณ 3-5 ปี เมื่อครบกำหนดควรถอดยาออก และใส่หลอดใหม่เข้าไปหากต้องการคุมกำเนิดต่อ แต่หากลืมฝังยาคุมกำเนิดควรป้องกันด้วยวิธีอื่นก่อน เช่น รับประทานยาคุมกำเนิด สวมถุงยางอนามัย
ข้อดี-ข้อเสียของการฝังเข็มยาคุม
ข้อดีของการฝังเข็มยาคุม
- ลดโอกาสในการตั้งครรภ์
- ไม่ต้องกังวลว่าลืมรับประทานยาคุมกำเนิด เมื่อมีเพศสัมพันธ์
- ไม่กระทบต่อการมีเพศสัมพันธ์ และการใช้ชีวิตประจำวัน
- อาจช่วยลดอาการปวดประจำเดือน
- ไม่กระทบต่อปริมาณน้ำนม สำหรับผู้ที่ให้นมบุตร
- อาจมีประโยชน์สำหรับผู้หญิงที่ไม่สามารถใช้การคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนได้
- หากต้องการตั้งครรภ์สามารถนำเข็มยาคุมออกได้ทันที โดยให้คุณหมอทำการถอดหลอดยาออก ซึ่งการใช้ฝังเข็มยาคุมอาจมีโอกาสมีบุตรได้เร็วกว่าการฉีดยาคุม เนื่องจากฮอร์โมนกระจายออกในปริมาณน้อยและไม่สะสมในร่างกาย
ข้อเสียของการฝังเข็มยาคุม
- ในช่วงแรกของการฝังเข็มยาคุม ประจำเดือนอาจมาผิดปกติ
- อาจพบผลข้างเคียงในช่วง 2-3 เดือนแรกในการฝังเข็มยาคุม เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ เจ็บเต้านม อารมณ์แปรปรวน
- ไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้น อาจใช้การคุมกำเนิดแบบอื่นเพิ่มเติม เช่น ถุงยางอนามัย
ผลข้างเคียงของการฝังเข็มยาคุม
การฝังเข็มยาคุมอาจเกิดผลข้างเคียง ดังนี้
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ
- ปวดหลัง
- ปวดหรือเจ็บเต้านม
- สิวขึ้น
- อารมณ์แปรปรวน
- ภาวะซึมเศร้า
- ลดอารมณ์ทางเพศ
- ประจำเดือนมาผิดปกติ อาจมีประจำเดือนมากะปริบกะปรอย หรือประจำเดือนไม่มา
- อาจมีอาการปวดแขนบริเวณที่ฝังแท่งยาคุมกำเนิด
- บริเวณที่ฝังยาคุมกำเนิดอาจเกิดการอักเสบ บวม หรือมีรอยแผลเป็น
- น้ำหนักอาจเพิ่มขึ้น
- ซีสต์ในรังไข่ เกิดจากการตกไข่ผิดปกติทำให้เกิดการคั่งมีถุงน้ำในรังไข่ เกิดเป็นถุงน้ำขนาดเล็กในรังไข่
- ยาฝังคุมกำเนิดอาจมีปฏิกิริยาต่อยาชนิดอื่น ๆ เช่น ไรฟาบูติน (Rifabutin) ยากล่อมประสาท ยารักษาโรคเอดส์หรือเอชไอวี (HIV) ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดลดลง
- อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ขณะใช้ยาฝังคุมกำเนิด อาจเพิ่มความเสี่ยงในการตั้งครรภ์นอกมดลูก อย่างไรก็ตาม เป็นกรณีที่พบได้ยาก
หากมีอาการใดที่ผิดปกติหลังจากฝังเข็มยาคุมหลัง เช่น เลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติเป็นเวลานาน มีก้อนที่เต้านม ผิวเหลือง ตาขาว อาการคล้ายโรคดีซ่าน ปวดหรือบวมที่น่อง ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อรับคำวินิจฉัยเพิ่มเติม นอกจากนี้ แม้ว่าจะฝังเข็มยาคุมแล้วแต่ก็อาจมีโอกาสตั้งครรภ์ได้เช่นกัน