ห่วงคุมกำเนิด (Intrauterine Device; IUD) หรือห่วงอนามัย เป็นอุปกรณ์สำหรับการคุมกำเนิดในระยะยาวรูปแบบหนึ่ง ที่ใช้สวมใส่ทางช่องคลอดเข้าไปในโพรงมดลูก โดยประกอบไปด้วยฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสติน (Progestins) และทองแดง ที่ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม การคุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัยอาจส่งผลให้มีอาการเลือดออกเล็กน้อย ปวดท้องเกร็ง และเสี่ยงต่อการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานได้ ดังนั้น จึงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพและขอคำปรึกษาจากคุณหมอก่อนใช้ เพื่อความปลอดภัย
[embed-health-tool-ovulation]
ห่วงคุมกําเนิด คืออะไร
ห่วงคุมกําเนิด หรือห่วงอนามัย คือ อุปกรณ์ขนาดเล็กที่ทำจากพลาสติก มีลักษณะเป็นตัว T หรือตัว U มีเชือกไนลอนอยู่ตรงส่วนปลาย มีความยืดหยุ่น สามารถโค้งงอได้โดยไม่หัก โดยจะใส่เข้าไปในโพรงมดลูก แล้วปล่อยให้เส้นเชือกไนลอนยาวพ้นปากมดลูกออกมาประมาณ 2-3 เซนติเมตร เพื่อให้สามารถดึงห่วงคุมกำเนิดออกมาเปลี่ยนได้สะดวกเมื่อครบกำหนด ส่วนใหญ่อาจเปลี่ยนทุก ๆ 3-10 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของห่วงคุมกำเนิดที่ใช้ กระบวนการทำงานของห่วงคุมกำเนิดคือการปล่อยฮอร์โมนและประจุทองแดง
ห่วงคุมกำเนิดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ห่วงคุมกำเนิดแบบไม่ออกฤทธิ์ และห่วงคุมกำเนิดแบบออกฤทธิ์ ส่วนใหญ่ประเทศไทยนิยมใช้ห่วงอนามัยแบบออกฤทธิ์ เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดได้ดีกว่า ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน ดังนี้
1. ห่วงคุมกำเนิดหุ้มทองแดง (Intrauterine coil) ส่วนใหญ่ทำจากพลาสติก มีทองแดงหุ้มรอบนอก ซึ่งอาจทำเป็นเส้นลวดพันรอบแกนหรือทำเป็นปลอกหุ้มแกน ออกฤทธิ์คุมกำเนิดโดยการปล่อยประจุทองแดง วันละ 40-50 ไมโครกรัม เพื่อช่วยคุมกำเนิด สามารถอยู่ในโพรงมดลูกได้นาน 3-10 ปี หรือ 12 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดและยี่ห้อที่เลือกใช้ ออกฤทธิ์ในการคุมกำเนิดโดยทำให้สภาพแวดล้อมในโพรงมดลูกมีการอักเสบ ทำให้รบกวนการเคลื่อนที่ของอสุจิที่เคลื่อนที่มาในมดลูก ทำให้ป้องกันการปฏิสนธิได้
2. ห่วงคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมน (Intrauterine system) มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเลโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) เป็นฮอร์โมนในกลุ่มโปรเจสติน ที่สังเคราะห์ขึ้นเลียนแบบฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่ช่วยคุมกำเนิด โดยออกฤทธิ์คุมกำเนิดโดยทำให้มูกบริเวณปากมดลูกปริมาณลดลงและข้นขึ้น ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลง และกระตุ้นให้มีการอักเสบในโพรงมดลูก แต่อาจมีระยะเวลาการใช้แตกต่างกันตามปริมาณของฮอร์โมน ดังต่อไปนี้
- ห่วงคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนปริมาณ 13.5 มิลลิกรัม อาจใช้คุมกำเนิดได้นาน 3 ปี โดยในช่วงแรกจะปล่อยฮอร์โมนเฉลี่ยวันละ 14 ไมโครกรัม และลดเหลือวันละ 5 ไมโครกรัม หลังจากใส่ห่วงคุมกำเนิด 3 ปี
- ห่วงคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนปริมาณ 19.5 มิลลิกรัม อาจใช้คุมกำเนิดได้นาน 5 ปี โดยในช่วงแรกจะปล่อยฮอร์โมนเฉลี่ยวันละ 17.5 ไมโครกรัม และลดเหลือวันละ 7.4 ไมโครกรัม หลังจากใส่ห่วงคุมกำเนิด 5 ปี
- ห่วงคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนปริมาณ 52 มิลลิกรัม อาจใช้คุมกำเนิดได้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี โดยช่วงแรกอาจปล่อยฮอร์โมนเฉลี่ยวันละ 20 ไมโครกรัม และลดเหลือวันละ 8.6 ไมโครกรัม หลังจากใส่ห่วงคุมกำเนิด 6 ปี ขึ้นไป
ข้อดีและข้อเสียของห่วงคุมกําเนิด
ข้อดี
- สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ในระยะยาว อาจนานกว่า 3-10 ปี ลดปัญหาการลืมรับประทานยาคุมแบบเม็ด
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เนื่องจากไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย
- ใช้ได้กับกลุ่มคนหลากหลาย เช่น ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน สตรีที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร
- มีผลข้างเคียงน้อย
- อาจช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันทีที่ใส่
- ไม่ขัดจังหวะการมีเพศสัมพันธ์
- สามารถถอดได้หากต้องการมีบุตร
ข้อเสีย
- ไม่สามารถถอดหรือใส่ได้ด้วยตัวเอง แต่จำเป็นต้องให้คุณหมอเป็นคนใส่และถอดให้เท่านั้น
- จำเป็นต้องผ่านการตรวจภายในก่อนใส่ห่วงคุมกำเนิด
- อาจมีอาการเจ็บและมีเลือดออกขณะใส่เล็กน้อย
- ห่วงคุมกำเนิดบางชนิดอาจมีราคาสูงจึงอาจเสียค่าใช้จ่ายมากในช่วงเวลาแรกของการเริ่มใส่
- เชือกไนลอนที่อยู่บริเวณปลายห่วงคุมกำเนิดอาจรบกวนการมีเพศสัมพันธ์สำหรับบางคน
- อาจมีอาการปวดท้องเกร็งและอาจทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ
- อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อและอักเสบ
- ห่วงคุมกำเนิดอาจหลุดออกจะโพรงมดลูกหรือสามารถทะลุได้
- ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
ห่วงคุมกำเนิดไม่เหมาะกับใคร
ห่วงคุมกำเนิดเหมาะสำหรับผู้หญิงช่วงวัยเจริญพันธุ์ที่มีความประสงค์จะคุมกำเนิดในระยะยาว และอาจมีการวางแผนการตั้งครรภ์ในอนาคต อีกทั้งยังสามารถใช้ได้กับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน อยู่ในช่วงให้นมบุตร แต่อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะสุขภาพ ดังนี้
- ผู้ที่แพ้ฮอร์โมนหรือส่วนประกอบในห่วงคุมกำเนิด
- ผู้ที่มีแนวโน้มในการตั้งครรภ์
- ผู้ที่ติดเชื้อในทางเดินระบบสืบพันธุ์ เช่น ช่องคลอดอักเสบ ปากมดลูกอักเสบ
- ผู้ที่โพรงมดลูกมีลักษณะผิดปกติ
- ผู้ที่เป็นเนื้องอกในมดลูกที่ทำให้โพรงมดลูกมีลักษณะผิดปกติ
- ผู้ที่เป็นโรควิลสัน (Wilson disease) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ร่างกายมีการสะสมของทองแดงมากเกินไป
- ผู้ที่มีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ
- ผู้ที่มีการติดเชื้อเนื่องจากการแท้งบุตร
- ผู้ที่ติดเชื้อในบริเวณอุ้งเชิงกราน
- ผู้ที่เป็นไมเกรนระดับรุนแรง
- ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใส่ห่วงคุมกำเนิด
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใส่ห่วงคุมกำเนิด มีดังนี้
- สามารถเข้ารับการใส่ห่วงคุมกำเนิดได้เมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์หรือเริ่มมีประจำเดือน หรือเมื่อผ่านการพิจารณาจากคุณหมอแล้ว
- ไม่ควรถอดหรือใส่ห่วงอนามัยเอง เพราะอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรให้คุณหมอเป็นคนทำเท่านั้น
- การใส่ห่วงคุมกำเนิดไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ดังนั้น ควรใช้วิธีการป้องกันอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น สวมถุงยางอนามัย
- หากกำลังวางแผนตั้งครรภ์ สามารถเข้าพบคุณหมอเพื่อนำห่วงอนามัยออกได้
- สำหรับผู้ที่คลอดบุตรแล้ว สามารถเข้ารับการใส่ห่วงคุมกำเนิดได้ใน 4 สัปดาห์หลังคลอด และสำหรับคุณแม่ที่แท้งบุตรสามารถรับการใส่ห่วงคุมกำเนิดได้ทันที
- ควรพบคุณหมอทันทีหากมีอาการปวดท้องมาก เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ มีไข้ หนาวสั่น เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของการติดเชื้อ