ตุ่มเอดส์ หรือตุ่ม PPE เป็นอาการทางผิวหนังที่ทำให้เกิดผื่นคันในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะในผู้ป่วยระยะโรคเอดส์ ตุ่มเอดส์มักเกิดขึ้นบริเวณลำตัว ใบหน้า และแขนขา อาจทำให้มีตุ่มแดงหรือตุ่มสีม่วงบนผิวหนัง มีอาการคัน เลือดคั่ง และอาจมีเยื่อเมือกบนฝ่ามือและฝ่าเท้า ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และควรเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้อาการลุกลามจนควบคุมได้ยาก
[embed-health-tool-ovulation]
ตุ่มเอดส์ คืออะไร
ผื่น PPE หรือตุ่ม PPE (Pruritic papular eruption หรือ PPE) หรือที่เรียกกันว่า ตุ่มเอดส์ คือ ผื่นคันที่มักเกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน ตุ่มเอดส์เป็นอาการเริ่มต้นของเอชไอวีระยะที่ 2 ซึ่งเป็นสัญญาณว่าระบบภูมิคุ้มกันต่ำลง และตุ่มเอดส์จะกระจายตัวมากขึ้นเป็น 3 เท่า เมื่อจำนวนเม็ดเลือดขาว CD4 ที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.
ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุตุ่มเอดส์ได้อย่างแน่ชัด แต่คาดว่าเกิดจากการติดเชื้อเอชไอวีเฉียบพลันโดยตรงทางผิวหนัง ยารักษาภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง การติดเชื้ออื่น ๆ เช่น เชื้อไวรัสเริม ซิฟิลิส หรือโรคหูข้าวสุก การติดเชื้อจากแมลงกัดต่อย ทำให้มีตุ่มแดงหรือตุ่มสีม่วงบนผิวหนัง มีอาการคัน เลือดคั่ง ผิวแห้ง มีเม็ดสีมากเกินไปจนสีผิวบางส่วนเปลี่ยนแปลง มีเยื่อเมือกบนฝ่ามือและฝ่าเท้า โดยเฉพาะในบริเวณใบหน้า แขาขา ลำตัว
ตุ่มเอดส์ มีกี่ประเภท
แม้จะยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดในการเกิดตุ่มเอดส์ได้ แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี และอาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน อาการของตุ่มเอดส์อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น
ตุ่มเอดส์จากการติดเชื้อเอชไอวีเฉียบพลัน
ตุ่มเอดส์มักเกิดบริเวณใบหน้า มือ และเท้า อาจเป็นจุดสีแดงในคนผิวขาว และเป็นจุดสีม่วงหรือสีคล้ำในคนที่มีผิวคล้ำ โดยตุ่มเอดส์จากสาเหตุนี้จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายพยายามต่อสู้กับเชื้อไวรัส ซึ่งอาจทำให้มีอาการอื่นดังต่อไปนี้ด้วย
- มีไข้ ปวดหัว เจ็บคอ
- เหนื่อยล้า ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ต่อมน้ำเหลืองบวม
- ท้องเสีย
อาการเหล่านี้คล้ายอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ หรือภูมิแพ้ทั่วไป จะเริ่มปรากฎให้เห็นหลังติดเชื้อประมาณ 2 สัปดาห์ และอาจหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายคนอาจไม่ทราบว่าเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งหากปล่อยไว้อาจทำให้อาการของโรคแย่ลงได้ การตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคและรับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจช่วยควบคุมการลุกลามของไวรัส และลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายไวรัสสู่ผู้อื่นได้ด้วย
ตุ่มเอดส์จากยารักษาภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ตัวยาบางชนิดที่ใช้รักษาการติดเชื้อเอชไอวีหรือเชื้ออื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้ภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจทำให้เกิดตุ่มผื่นที่ผิวหนังได้ เมื่อหยุดรับประทานยา ตุ่มผื่นอาจหายไปได้เอง แต่ทั้งนี้ การหยุดรับประทานยาควรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณหมอด้วย และหากมีตุ่มผื่นเกิดขึ้นพร้อมกับอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดหัว มีไข้ เหนื่อยล้า ปวดท้อง และอาเจียน อาจเป็นสัญญาณของภาวะภูมิไวเกิน ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อรับประทานยารักษาการติดเชื้อเอชไอวีดังต่อไปนี้
- อบาคาเวียร์ (Abacavir)
- ราลเตกราเวียร์ (Raltegravir)
- โดลูเทกราเวียร์ (Dolutegravir)
- มาราวิร็อค (Maraviroc)
- เนวิราพีน (Nevirapine)
ตุ่มเอดส์จากการติดเชื้อชนิดอื่น
เชื้อเอชไอวีมีส่วนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง จึงอาจเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อชนิดอื่น และหากผู้ป่วยไม่ได้รับประทานยาควบคุมเชื้อเอชไอวี ก็จะยิ่งเสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายกว่าผู้ที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง การติดเชื้อชนิดอื่นที่อาจส่งผลให้เกิดตุ่มเอดส์ ได้แก่
- โรคหูดข้าวสุก เป็นการติดเชื้อไวรัสที่ผิวหนังทำให้เกิดตุ่มสีเนื้อเล็ก ๆ สามารถพบได้ทุกส่วนบนร่างกาย และแพร่สู่ผู้อื่นได้ผ่านการสัมผัสผิวหนัง หรือใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน ตุ่มอาจมีขนาดใหญ่ขึ้นและรักษายากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี การรักษาที่ดีที่สุดคือการเสริมระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยให้ดีขึ้น
- ซิฟิลิส ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีและเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้รับการรักษาในทันที อาจมีตุ่มผื่นขึ้นบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า หลังจากติดเชื้อประมาณ 2-8 สัปดาห์
- โรคงูสวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเริม พบบ่อยในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งส่งผลให้อาจรักษาได้ยากขึ้น โรคงูสวัดอาจทำให้เกิดตุ่มผื่นที่ผิวหนัง เจ็บปวด อาจเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณบนร่างกาย โดยเฉพาะลำตัว แขน ขา และใบหน้า การรักษาอาจต้องให้ยาบรรเทาอาการปวดและยาต้านไวรัสเพื่อบรรเทาอาการและควบคุมตุ่มผื่นลุกลาม
- มะเร็งผิวหนังชนิดคาโปซิ ซาร์โคมา (Kaposi Sarcoma) อาจทำให้เกิดตุ่มสีน้ำตาล สีม่วง หรือสีแดงบนผิวหนัง พบมากในผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีในระยะโรคเอดส์
ภาวะแทรกซ้อนของ ตุ่มเอดส์
- อาจทำให้รู้สึกถูกแบ่งแยกออกจากสังคม
- ผิวหนังอาจหนาและด้านขึ้น สีผิวคล้ำลงและอาจเกิดรอยแผลเป็น
- การอักเสบอาจทำให้เกิดรอยดำบนผิวหนัง โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวเข้ม
การรักษาตุ่มเอดส์
หาก ตุ่มเอดส์ ที่เกิดขึ้นทำให้มีอาการคลายไข้หวัดใหญ่ ผื่นลุกลามอย่างรวดเร็ว ต่อมน้ำเหลืองบวม และคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ควรรีบเข้าพบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยอาการ
- การตรวจเลือด เพื่อตรวจหาเชื้อเอชไอวี ปริมาณไวรัส และจำนวนของเม็ดเลือดขาว CD4
- การตัดชิ้นเนื้อจากผิวหนังส่งตรวจ เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อที่ผิวหนัง และการอักเสบของต่อมน้ำเหลือง
การรักษาอาจขึ้นอยู่กับสาเหตุของตุ่มเอดส์ หากเกิดขึ้นเพราะยา คุณหมออาจให้หยุดยาเพื่อให้ตุ่มเอดส์หายไป หรืออาจให้ยาต้านเชื้อไวรัสเพื่อทำให้ตุ่มยุบลงและทำให้อาการดีขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณหมอด้วย
วิธีดูแลตัวเองเพื่อลดอาการคันหรือปัญหาผิวเมื่อเป็นตุ่มเอดส์ มีดังนี้
- ปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับวิธีใช้ยารับประทานและยาเฉพาะที่ เช่น ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamine) ไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) สเตียรอยด์เฉพาะที่ เพื่อช่วยบรรเทาอาการคัน
- รักษาด้วยวิธีส่องไฟ (Phototherapy) คือ การรักษาด้วยแสงไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่น 400-500 นาโนเมตร เพื่อใช้รักษาโรคผิวหนังบางชนิด
- ตุ่มเอดส์อาจทำให้มีอาการคันมาก ควรหลีกเลี่ยงการเกาเพื่อไม่ให้เกิดบาดแผลและติดเชื้อเพิ่มเติม
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน ให้อาบน้ำอุณหภูมิปกติเพื่อไม่ให้ผิวแห้งเกินไป
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง เพราะผิวของผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีอาจไวต่อแสงมาก