backup og meta

ถ้า เครียด ประจำเดือนเลื่อน กี่วัน ควรหาหมอเมื่อใด

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงนันทิวดี มาเมือง · สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 06/03/2024

    ถ้า เครียด ประจำเดือนเลื่อน กี่วัน ควรหาหมอเมื่อใด

    ผู้หญิงบางคนอาจสงสัยว่า ถ้า เครียด ประจำเดือนเลื่อน กี่วัน? และคำตอบคือ 2-3 วัน หรืออาจมากกว่านั้น ตามระดับความเครียดและปัจจัยแวดล้อมของแต่ละคน ทั้งนี้ หากประจำเดือนเลื่อนประมาณ 2-3 วัน ถือว่าปกติ แต่หากประจำเดือนไม่มาเกิน 3 เดือน ควรไปพบคุณหมอ

    ความเครียดทำให้ประจำเดือนเลื่อนได้อย่างไร

    ความเครียด เป็นสาเหตุหนึ่งให้ประจำเดือนเลื่อน หรือมาช้ากว่าปกติ เช่นเดียวกับการตั้งครรภ์ การออกกำลังกายอย่างหนัก การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว หรือภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ

    เมื่อมีความเครียด ต่อมหมวกไตจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา ซึ่งไปรบกวนการทำงานของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ทำให้การตกไข่หยุดลงชั่วคราว ส่งผลให้ประจำเดือนเลื่อน ไม่มา หรือมาน้อยกว่าปกติ

    ถ้า เครียด ประจำเดือนเลื่อน กี่วัน

    เมื่อมีความเครียด ประจำเดือนจะมาช้ากว่าปกติประมาณ 2-3 วัน อย่างไรก็ตาม หากมีภาวะเครียดเรื้อรัง ประจำเดือนอาจเลื่อนนานกว่านั้น หรืออาจนานเกินกว่า 1 เดือน

    ประจำเดือนเลื่อน เมื่อไรควรไปพบคุณหมอ

    โดยเฉลี่ย ผู้หญิงจะเป็นประจำเดือนทุก ๆ 28 วัน และประจำเดือนอาจเลื่อนได้ราว 1-7 วัน

    ทั้งนี้ ลักษณะประจำเดือนเลื่อนหรือมาผิดปกติที่ควรไปพบคุณหมอ ได้แก่

    • ประจำเดือนไม่มาติดต่อกัน 3 เดือน หรือมากกว่านั้น
    • ระยะห่างระหว่างรอบเดือนน้อยกว่า 21 วัน หรือมากกว่า 35 วัน
    • ประจำเดือนมีปริมาณมากหรือน้อยกว่าปกติ
    • ประจำเดือนมาพร้อมกับอาการป่วยอื่น ๆ เช่น ไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ปวดท้องอย่างรุนแรง ตกขาวมีกลิ่นเหม็น

    การรักษาอาการประจำเดือนเลื่อนเนื่องจากความเครียด

    หากคุณหมอตรวจพบว่าคนไข้ ประจำเดือนเลื่อน เป็นเวลานานเพราะความเครียด คุณหมอจะจ่ายยาคุมกำเนิดให้รับประทาน โดยยาคุมกำเนิดมีฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เป็นส่วนผสม ซึ่งออกฤทธิ์ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายเพศหญิง ทำให้ประจำเดือนมาตามปกติได้

    นอกจากนี้ คุณหมออาจแนะนำให้ดูแลตัวเองด้วยวิธีการต่อไปนี้ เพื่อบรรเทาความเครียดหรือลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลในร่างกาย

    • ออกกำลังกาย การออกกำลังกายแบบแอโรบิค หรือการออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ช่วยลดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลและอะดรีนาลีน (Adrenaline) และในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ออกมา ซึ่งจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมองโลกในแง่ดี อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายหักโหมจะยิ่งเพิ่มความเครียด และส่งผลให้ร่างกายหลั่งคอร์ติซอลออกมามากขึ้น จึงควรออกกำลังกายแต่พอดี
    • ควบคุมอาหาร อาหารที่บริโภคในแต่ละมื้อสัมพันธ์กับระดับคอร์ติซอลในร่างกาย การบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยน้ำตาล ธัญพืชขัดสี และไขมันอิ่มตัว มีส่วนทำให้คอร์ติซอลเพิ่มขึ้นได้มากกว่าการบริโภคอาหารประเภทธัญพืชไม่ขัดสี ผลไม้ ผัก หรือไขมันไม่อิ่มตัว
    • หัวเราะให้มากขึ้น เช่นเดียวกับการออกกำลังกาย การหัวเราะจะช่วยกระตุ้นการหลั่งเอนดอร์ฟิน และช่วยลดการหลั่งคอร์ติซอลได้ด้วย
    • นอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับอย่างเพียงพอส่งผลให้ระดับคอร์ติซอลในร่างกายไม่ให้สูงเกินไป ในขณะที่การนอนไม่หลับ รวมถึงการทำงานรอบดึก ส่งผลให้ระดับคอร์ติซอลในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนรอบทำงานต่อระดับคอร์ติซอล เผยแพร่ในวารสาร Journal of Nursing Research ปี พ.ศ. 2554 นักวิจัยได้ศึกษาผลการศึกษาหลาย ๆ ชิ้นเกี่ยวกับการนอน และพบว่า พนักงานรอบดึกที่นอนตอนกลางวัน มีระดับคอร์ติซอลสูงกว่าผู้ที่นอนหลับพักผ่อนในช่วงตอนกลางคืน เมื่อคอร์ติซอลเพิ่มสูงขึ้นจะทำให้กระบวนการฟื้นฟูร่างกายระหว่างนอนหลับมีประสิทธิภาพลดลง และยังส่งผลให้เวลานอนโดยเฉลี่ยลดลงจากปกติประมาณ 1-4 ชั่วโมงด้วย

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

    แพทย์หญิงนันทิวดี มาเมือง

    สูตินรีเวชวิทยา · โรงพยาบาลสุขุมวิท


    เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 06/03/2024

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา