Pride Month หรือเดือนแห่งไพรด์ เป็นเดือนสำหรับการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศของกลุ่ม LGBTQIA+ โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักถึงประวัติศาสตร์การต่อสู้ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศที่มีมาอย่างยาวนานที่มีจุดเริ่มต้นเมื่อเดือน มิถุนายน พ.ศ.2512 ในประเทศสหรัฐอเมริกา และเพื่อผลักดันให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศมีสิทธิและเสรีภาพในการใช้ชีวิตอย่างอิสระตามรสนิยมทางเพศและเพศวิถีของตัวเองโดยปราศจากการตีตราและการตัดสินจากสังคม
[embed-health-tool-bmi]
Pride Month คืออะไร
Pride Month หรือเดือนมิถุนายนของทุกปีถือเป็นเดือนแห่งการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQIA+ ที่ประกอบไปด้วยเลสเบี้ยน (Lesbian) เกย์ (Gay) ไบเซ็กชวล (Bisexual) ทรานส์เจนเดอร์ (Transgender) เควียร์/เควชชันนิง (Queer/Questioning) อินเตอร์เซ็กส์ (Intersex) เอเซ็กชวล (Asexual) รวมไปถึงเพศหลากหลายอื่น ๆ โดยมีการรณรงค์ให้เพิ่มการมองเห็น สร้างการตระหนักรู้และความเข้าใจ ตลอดจนผลักดันสิทธิของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในด้านต่าง ๆ ทั้งในทางกฎหมายและการอยู่ร่วมกันในสังคม เช่น
- สิทธิทางกฎหมายในการแต่งงาน
- สิทธิทางกฎหมายที่จะได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายในการป้องกันการเลือกปฏิบัติการจ้างงานและอยู่อาศัย
- สิทธิทางกฎหมายในการรับบุตรบุญธรรม
- สิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองเยาวชนที่มีความหลากหลายทางเพศ
- สิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายจากอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง (Hate Crime)
ความสำคัญของ Pride Month
แม้ว่าการจัดกิจกรรมเดือนไพรด์ในรูปแบบต่าง ๆ จะยังไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด แต่เดือนนี้มีความสำคัญต่อผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ดังนี้
- เป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศมีพื้นที่ได้แสดงตัวตนของตัวเองได้อย่างอิสระและไม่ถูกปิดกั้นเหมือนที่ผ่านมา
- ช่วยให้ทุกคนยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นและสร้างความเชื่อมั่นระหว่างกัน
- เป็นอีกก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่ความเท่าเทียมอย่างแท้จริงในสังคม
ทำไมเดือนแห่งไพรด์ถึงตรงกับเดือนมิถุนายน
จุดเริ่มต้นของเดือนไพรด์ เริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2512 ซึ่งมีชนวนหลักมาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองกรีนิช วิลเลจ (Greenwich Village) ประเทศสหรัฐอเมริกาที่บุกเข้าไปจับกุมผู้ใช้บริการบาร์เกย์ที่ชื่อว่าสโตนวอลล์ อินน์ (Stonewall Inn) ทำให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศลุกฮือขึ้นมาประท้วงและต่อต้านความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น นำไปสู่เหตุจลาจลสโตนวอลล์ (Stonewall riots) ที่ดำเนินไปเป็นเวลาหลายวัน เหตุการณ์ในครั้งนั้นนับเป็นจุดเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ที่ทำให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศได้แสดงจุดยืนในการเรียกร้องการใช้ชีวิตและมีตัวตนทางสังคมอย่างเปิดเผย และทำกิจกรรมเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้
ในปัจจุบัน กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศทั่วโลกได้เปลี่ยนช่วงเวลาที่เจ็บปวดในเดือนมิถุนายนเมื่อหลายสิบปีก่อน ให้กลายเป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองความภาคภูมิใจในตัวตนของกันและกันอย่างเต็มที่ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นขบวนพาเหรด งานปาร์ตี้ เวิร์คช็อป สัมมนา คอนเสิร์ต ที่มักจะจัดขึ้นเพื่อเป็นร่วมฉลองเทศกาลแห่งความภาคภูมิใจไปด้วยกันตลอดทั้งเดือน
พันธมิตรสนับสนุนเดือนไพรด์ได้อย่างไรบ้าง
นอกจากกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศจะเป็นผู้ออกมารณรงค์ด้วยตัวเองแล้ว บรรดาคนรักเพศตรงข้ามที่เรียกว่าพันธมิตร (Ally) ก็สามารถออกมาเคลื่อนไหวและแสดงจุดยืนสนับสนุนสิทธิในการเป็นตัวเองอย่างภาคภูมิใจของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศได้ตลอดทั้งเดือนไพรด์เช่นกัน ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น
- สนับสนุนธุรกิจและองค์กรการกุศลของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
- ปฏิบัติตัวต่อกันอย่างให้เกียรติกันในฐานะคนที่มีความเท่าเทียมกัน
- ให้พื้นที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศในการเรียกร้องสิทธิ
- ไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ที่มีรสนิยมทางเพศแตกต่างจากตนเอง
- สนับสนุนการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
ชาว LGBTQIA+ และปัญหาสุขภาพด้านต่าง ๆ
ชาว LGBTQIA+ มักจะประสบกับปัญหาสุขภาพที่เกิดจากประเด็นเกี่ยวกับเพศของตัวเอง เช่น ความไม่สอดคล้องทางเพศ (Gender Incongruence) ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่สอดคล้องกับเพศแต่กำเนิดของตัวเอง รสนิยมทางเพศ (Sexual orientation) ความทุกข์ใจในเพศสภาพ (Gender Dysphoria) และส่งผลให้คนในกลุ่มนี้เสี่ยงต่อเกิดสุขภาพด้านสุขภาพจิตต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า เป็นต้น นอกจากนี้ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศก็มักจะมีปัญหาที่แตกต่างกันไป เช่น
- เกย์มีแนวโน้มที่จะหมกมุ่นกับรูปร่างและเสี่ยงต่อการเกิดพฤติกรรมการกินอาหารผิดปกติ (Eating disorder) มากกว่าคนที่รักเพศตรงข้าม
- เกย์ชายและเลสเบียนอาจมีแนวโน้มที่จะเก็บตัวเงียบและไม่ปริปากเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวที่ตัวเองพบเจอเนื่องจากกลัวว่าจะถูกเลือกปฏิบัติ
- ทรานส์เจนเดอร์หรือคนข้ามเพศมักประสบกับปัญหาด้านสุขภาพที่เกิดจากการเลือกปฏิบัติและการตีตราทางสังคม ทำให้เสี่ยงที่จะพบกับความรุนแรงทางอารมณ์และร่างกายจากคนอื่น ความรุนแรงทางร่างกายและทางเพศ การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ การใช้สารเสพติด รวมไปถึงปัญหาสุขภาพจิต และปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นจากการใช้ฮอร์โมนและการแปลงเพศ
แม้ว่าในปัจจุบัน สังคมมีการเปิดกว้างและยอมรับเรื่องนี้ได้มากขึ้น อีกทั้งยังสามารถออกมาเรียกร้องสิทธิได้อย่างอิสระมากขึ้น แต่ปัญหาสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจยังคงเป็นเรื่องที่กลุ่มคนหลากหลายทางเพศประสบพบเจออยู่ในทุก ๆ วันของการใช้ชีวิต จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนทั่วไปควรตระหนักและรับรู้ถึงปัญหาที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของผู้มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อที่จะสร้างสังคมที่ปลอดภัยให้กันและกันต่อไป