Vit C หรือ Vitamin C เป็นสารอาหารชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย พบได้ในผักและผลไม้ต่าง ๆ โดยเฉพาะพืชตระกูลส้มหรือมะนาว Vitamin C มีประโยชน์ต่อการทำงานของระบบอวัยวะต่าง ๆ ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อีกทั้งมีประโยชน์ต่อผิวพรรณหลายประการ เช่น การช่วยลดเลือนริ้วรอย รักษาแผลเป็น และป้องกันผิวหนังเสียหายจากแสงแดด
[embed-health-tool-bmi]
Vit C คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรต่อผิวพรรณ
Vit C หรือ Vitamin C เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์หลายประการต่อร่างกายมนุษย์ เช่น รักษาความแข็งแรงของกระดูกและฟัน ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น รวมทั้งปกป้องระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงและทำงานได้เป็นปกติ
นอกจากนั้น Vitamin C ยังมีประโยชน์และบทบาทสำคัญต่อการดูแลและบำรุงผิว ดังนี้
- ช่วยลดเรือนริ้วรอย ทำให้ผิวเต่งตึง ดูอ่อนกว่าวัย เพราะ Vitamin C จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตโปรตีนคอลลาเจน (Collagen) ในผิวหนัง ทั้งนี้ ผลการศึกษาหนึ่งเกี่ยวกับสารอาหารที่มีส่วนช่วยทำให้ผิวดูอ่อนวัยในหญิงอเมริกันวัยกลางคน ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrition ในปี พ.ศ. 2550 ระบุว่า การบริโภค Vitamin C ในปริมาณที่สูงขึ้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับผิวที่ดูอ่อนวัยลง และแนวโน้มการเกิดรอยเหี่ยวย่นที่ลดลง
- ทำให้บาดแผลหายไวขึ้น เนื่องจาก Vitamin C กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญต่อการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนที่เสียหายVitamin C จึงมีส่วนช่วยให้รอยแผลบนผิวหนังหายเร็วขึ้นกว่าเดิม
- ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอยิ่งขึ้น Vitamin C มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการผลิตเมลานิน (Melanin) หรือเม็ดสีของผิวหนัง ทำให้ผิวหนังส่วนที่เข้มกว่าส่วนอื่นมีสีจางลง และโทนผิวโดยรวมดูเรียบเนียน สม่ำเสมอยิ่งขึ้น จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Physiology พ.ศ. 2561 เกี่ยวกับประโยชน์ของวิตามินซีและโรคผิวหนัง พบว่า วิตามินซีมีบทบาทสำคัญต่อการลดลงของการสังเคราะห์เมลานิน
- ลดความเสียหายจากแสงแดด Vitamin C ช่วยป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นจากการเผชิญกับรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด ผู้ที่เลือกบำรุงผิวด้วยครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของวิตามินซีอย่างสม่ำเสมอจะสามารถปกป้องผิวเสียจากแสงแดดได้
Vit C หาได้จากไหนบ้าง
Vitamin C เป็นสารอาหารชนิดหนึ่งที่ร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ แต่ร่างกายจะได้รับวิตามินซีจากการรับประทานอาหารต่าง ๆ ดังนี้
- ผลไม้ เช่น ส้ม มะนาว ส้มโอ ฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี่่ มะละกอ
- ผัก เช่น พริกหยวก บรอกโคลี มะเขือเทศ ถั่วลันเตา เคล
นอกจากนี้ ร่างกายยังสามารถรับ Vitamin C ได้จากวิธีต่าง ๆ ดังนี้
- รับประทานในรูปแบบอาหารเสริม โดยปริมาณ Vitamin C ที่ควรบริโภคต่อวัน คือ ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม หากบริโภคเกินกว่านั้น อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน แสบร้อนกลางอก อ่อนเพลีย ปวดหัว ปวดท้อง นอกจากนี้ การบริโภค Vitamin C เกินกว่า 2,000 มิลลิกรัม อย่างต่อเนื่อง ในระยะยาว อาจทำให้เป็นนิ่วในไตได้
- ทาครีมหรือเซรัม ที่มีส่วนผสมของ Vitamin C เพื่อให้ผิวหนังได้รับ วิตามินซีโดยตรง อย่างไรก็ตาม ครีมหรือเซรัมอาจเป็นสาเหตุของอาการระคายเคือง แสบ หรือคัน ในกรณีของผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย
- ฉีดเข้าร่างกาย เป็นหนึ่งในวิธีบำรุงผิวที่ได้รับความนิยมค่อนข้างสูงในปัจจุบันโดยเฉพาะผู้ที่ต้องการมีผิวเรียบเนียน เต่งตึง ไร้ริ้วรอย และสีผิวสว่างขึ้น เนื่องจากเห็นผลเร็ว หรือประมาณ 3 วันหลังจากการฉีด อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของการฉีด Vitamin C จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากต้องการเห็นผลต่อเนื่องจึงควรเข้ารับการฉีด Vitamin C เพื่อบำรุงผิวจากสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานอยู่เป็นประจำ
- วิตามินบำบัด หรือ Intravenous Therapy เป็นการให้ Vitamin C ทางเส้นเลือดดำ ในลักษณะคล้ายการให้น้ำเกลือ โดยคุณหมอจะผสม Vitamin C กับน้ำเกลือและแร่ธาตุอื่น ๆ แล้วปล่อยให้ไหลเข้าสู่ร่างกายผ่านสายยาง ซึ่งต่อกับถุงที่ห้อยไว้เหนือศีรษะ ร่างกายจะดูดซึมวิตามินซีและแร่ธาตุต่าง ๆ ได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม วิตามินบำบัด ต้องทำติดต่อกันหลายครั้ง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและต่อเนื่อง