ฝ้า เป็นอีกปัญหาของสุขภาพผิว ที่สามารถสังเกตได้จากจุดสีดำ สีน้ำตาล มักขึ้นบริเวณใบหน้า ในส่วนสันจมูก แก้ม หน้าผาก คาง และเหนือริมฝีปากบน อย่างไรก็ตาม ฝ้าอาจไม่ส่งผลอันตราย และสามารถจางลงเองได้หากบำรุงผิวหรือใช้ยารักษาอย่างถูกวิธี
คำจำกัดความ
ฝ้า คืออะไร
ฝ้า คือภาวะที่ผิวหนังมีจุดสีดำหรือสีดำน้ำตาลขนาดใหญ่ มักจะเกิดขึ้นบริเวณแก้ม หน้าผาก และบริเวณอื่นที่ถูกแสงแดดเป็นเวลานาน โดยฝ้ามักพบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะช่วงการตั้งครรภ์ที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง และอาจหายได้เองหลังจากคลอดบุตร
บางคนอาจเกิดความสับสนระหว่างฝ้ากับกระ เนื่องจากมีลักษณะที่คล้ายกัน แต่ฝ้าจะมีรอยด่างดำที่อาจมีขนาดใหญ่กว่าครึ่งนิ้ว ในขณะที่กระป็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ สีดำหรือน้ำตาล ซึ่งทั้งฝ้าและกระมักปรากฏได้ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กจนถึงอายุ 20 ปีหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ร่วมด้วย เช่น การตากแดดเป็นเวลานาน
อาการ
อาการของฝ้า
อาการของฝ้าที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ รอยสีดำหรือสีน้ำตาลขนาดใหญ่คล้ายเกลื้อน ขึ้นบนใบหน้าบริเวณแก้ม หน้าผาก สันจมูก เหนือริมฝีปากบน และคาง บางคนอาจพบบริเวณลำคอและแขน มักไม่ส่งผลให้เกิดการเจ็บปวดใด ๆ
สาเหตุ
สาเหตุของฝ้า
สาเหตุของฝ้าอาจยังไม่ชัดเจน แต่ตามคาดการณ์อาจเกิดมาจากสิ่งกระตุ้น ดังต่อไปนี้
- แสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์อาจกระตุ้นเมลาโนไซต์ (Melanocyte) ที่เป็นเซลล์เม็ดสีเมลานินในผิวหนัง ทำให้เกิดรอยฝ้าขึ้นบนผิว โดยเฉพาะหากได้รับแสงแดดในช่วงฤดูร้อน ถึงแม้ว่าฝ้าจะจางลงเองได้ แต่หากได้รับแสงแดดบ่อยครั้งก็อาจส่งผลให้ฝ้าเกิดขึ้นซ้ำอีกได้หลายครั้ง
- ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง อาจทำให้รอยฝ้าเพิ่มขึ้น มีอาการแย่ลง
- ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับสตรีตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 เนื่องจากการการตั้งครรภ์ส่งผลให้มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เพิ่มขึ้น ทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุล จึงก่อให้เกิดจุดด่างดำ ฝ้าขึ้น ถึงอย่างไรรอยฝ้าก็อาจจางลงเองได้ในช่วงหลังคลอด นอกจากนี้ ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดอาจส่งผลให้เกิดฝ้าได้เช่นเดียวกัน เพราะยาคุมมีส่วนทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลงจนอาจนำไปสู่การเกิดฝ้าบนผิวหน้า
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดฝ้า
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดฝ้า ได้แก่
- เพศ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักมีโอกาสเกิดฝ้ามากกว่าผู้ชาย เนื่องจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงระหว่างตั้งครรภ์และการรับประทานยาคุมกำเนิด
- สีผิว ผู้ที่มีสีผิวคล้ำอาจเสี่ยงเป็นฝ้า หรืออาจเห็นร่องรอยการเกิดฝ้าได้ชัด
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยฝ้า
หากสังเกตว่าสีผิวไม่สม่ำเสมอ มีรอยด่างดำจากฝ้า ควรเข้ารับการวินิจฉัยจากคุณหมอด้านผิวหนัง โดยคุณหมออาจตรวจเช็กสุขภาพผิวด้วยแสงที่เรียกว่า Wood’s lamp เพื่อหาร่องรอยของการติดเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรีย หรืออาจขอเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อนำไปตรวจผ่านทางกล้องจุลทรรศน์ เพื่อตรวจสอบว่ามีแนวโน้มเสี่ยงเป็นภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ หรือไม่
การรักษาฝ้า
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาฝ้า แต่มีวิธีรักษาที่อาจช่วยให้รอยฝ้าจางลงด้วยการใช้ยาที่คุณหมอผิวหนังแนะนำ ดังนี้
- ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เป็นยารักษาฝ้าที่ช่วยปรับให้สีผิวสม่ำเสมอ โดยควรใช้เมื่อคุณหมอกำหนดให้ใช้เท่านั้น
- เตรทติโนอิน (Tretinoin) คือยาที่ช่วยเพิ่มความกระจ่างใสของผิว โดยอาจมีส่วนประกอบจากตัวยา 3 ชนิด ได้แก่ ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เตรทติโนอิน (Tretinoin) และคอร์ติโคสเตีย์รอยด์ (Corticosteroid) ภายในตัวเดียว
- วิธีการรักษาฝ้าอื่น ๆ หากผิวไม่ตอบสนองต่อยารักษาฝ้า อาจใช้วิธีการเลเซอร์ ลอกผิวด้วยสารเคมี การกรอผิวหนังด้วยเทคนิคไมโครเดอร์มาเบรชั่น (Microdermabrasion) แต่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวคล้ำเสีย ระคายเคืองผิวหนัง
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันฝ้า
วิธีป้องกันฝ้า อาจทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนี้
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นก่อให้เกิดฝ้า เช่น การรับประทานยาคุมกำเนิด
- หากเป็นไปได้ไม่ควรเผชิญกับแสงแดดช่วงเวลา 11.00-15.00 น. และทาครีมกันแดดเป็นประจำก่อนออกจากบ้าน 15-30 นาที โดยเลือกครีมกันแดดที่มี SPF สูงกว่า 50+ หรือสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต เช่น แว่นกันแดด หมวก
- เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยนเหมาะกับสภาพผิว ป้องกันการระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงการแว็กซ์ เพราะอาจทำให้ผิวหนังอักเสบและทำให้อาการของฝ้าแย่ลง
[embed-health-tool-heart-rate]