รอยดำจากสิว คือแผลเป็นที่เกิดขึ้นหลังจากสิวหาย มีลักษณะเป็นรอยด่างดำ หมองคล้ำ และทำให้ผิวไม่เรียบเนียน การศึกษาเกี่ยวกับวิธีลดรอยดำจากสิว และการดูแลผิวอย่างถูกวิธี อาจช่วยลดรอยด่างดำบนใบหน้า ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และอาจช่วยป้องกันการสิวได้
[embed-health-tool-bmi]
รอยดำจากสิวเกิดจากอะไร
รอยดำจากสิว อาจเกิดจากสิวอักเสบ รวมถึงการบีบแกะสิว จนส่งผลให้ร่างกายกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินในบริเวณที่มีการอักเสบของสิวเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวบริเวณนั้นมีสีเข้มขึ้นและกลายเป็นรอยดำหลังจากที่สิวหาย ยิ่งสิวมีการอักเสบหรือมีความเสียหายจากการโดนบีบแกะสิวมากเท่าไหร่ รอยดำจากสิวก็จะสีเข้มและมีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่านั้น
วิธีลดรอยดำจากสิว
วิธีลดรอยดำจากสิว อาจสามารถทำได้ดังนี้
- ยารักษาสิว คุณหมออาจแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เรตินอยด์ (Retinoids) กรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha hydroxy acids) กรดแลคติก (Lactic acid) และไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) 1-2% ที่มีส่วนผสมของกรดไกลโคลิก (Glycolic acid) กรดโคจิก (Kojic acid) วิตามินซี เพราะยาดังกล่าวมีส่วนช่วยลดการอักเสบของสิว ลดเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ช่วยลดรอยดำจากสิว และช่วยทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้อาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น ดังนั้น จึงควรทาครีมกันแดดที่มีค่าป้องกัน SPF30 ขึ้นไป เพื่อช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ป้องกันไม่ให้รอยดำจากสิวคล้ำขึ้นกว่าเดิม
- เลเซอร์ ใช้คลื่นแสงที่มีความหนาแน่นและความเข้มข้นสูง ทำให้เม็ดสีที่อยู่ใต้ผิวหนังกระจายออก หลังจากนั้นเซลล์เม็ดเลือดขาวจะทำลายเม็ดสีที่ผิดปกติ ทำให้รอยดำจางลง
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical peel) เป็นการใช้สารเคมีพิเศษทาลงบนผิวหน้า เพื่อช่วยลอกผิวหน้า และขจัดเซลล์ผิวชั้นบนสุด ช่วยลดรอยดำที่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง วิธีการนี้อาจเห็นผลช้ากว่าการรักษาด้วยเลเซอร์และการขัดผิว อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง คือเกิดการเปลี่ยนแปลงของสีผิว ผิวแดง ตกสะเก็ด ผิวบวม รอยแผลเป็น และอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ฟิลเลอร์ การฉีดฟิลเลอร์อาจทำให้ผิวหนังเต่งตึง และช่วยทำให้รอยสิวดูจางลง อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้อาจช่วยลดเลือนรอยดำจากสิวได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ทำให้อาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาหลายครั้ง
- การฉีดสเตียรอยด์ เป็นวิธีการรักษารอยดำจากสิวแบบนูนอย่างตรงจุด โดยใช้เข็มฉีดบริเวณที่ได้รับผลกระทบโดยตรงเพื่อช่วยให้แผลเป็นนิ่มขึ้นและค่อย ๆ ยุบตัวลง ซึ่งอาจจำเป็นต้องเข้ารับการฉีดซ้ำ ๆ หลายครั้ง
- กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนด้วยการใช้เข็มขนาดเล็ก (Microneedling) คุณหมออาจใช้เข็มขนาดเล็กเจาะเข้าสู่ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ส่งผลให้รอยดำจางลง ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น หากมีรอยดำจากสิวขนาดใหญ่จากสิวอักเสบระดับรุนแรงอาจจำเป็นต้องรักษาควบคู่กับการทำเลเซอร์ร่วมด้วย
- การกรอผิว (Dermabrasion) เป็นการรักษารอยดำจากสิวคล้ายกับการทำเลเซอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยสิวรุนแรง โดยคุณหมอจะใช้แปรงหมุนเพื่อขัดเอาผิวหนังชั้นนอกออก เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้เรียบเนียน ผลข้างเคียงของการกรอผิว ได้แก่ ผิวแดงบวม สีผิวเปลี่ยน
การดูแลผิวหน้า
การดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันสิวอักเสบที่ส่งผลให้เกิดรอยดำจากสิว อาจทำได้ดังนี้
- ทำความสะอาดใบหน้าด้วยน้ำอุ่น และผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยนที่เหมาะกับสภาพผิว อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อขจัดเซลล์ผิวเก่า สิ่งสกปรก และน้ำมันส่วนเกิน
- หลังจากล้างหน้าควรซับหน้าให้แห้ง หากใช้ผ้าขนหนูควรซักให้สะอาดเป็นประจำ เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย
- หลีกเลี่ยงการขัดผิวอย่างรุนแรง เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคือง จนเสี่ยงเกิดสิวอักเสบได้
- เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “Non-comedogenic” เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมที่ทำให้รูขุมขนอุดตัน ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดสิว
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า เพราะมืออาจมีสิ่งสกปรกที่ทำให้ผิวระคายเคือง เกิดสิวอักเสบ
- ไม่แต่งหน้า หรือหากแต่งหน้าควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำมัน เพื่อลดการอุดตันที่ก่อให้เกิดสิว และควรเช็ดเครื่องสำอางออกให้หมดและล้างหน้าให้สะอาดก่อนนอน
- ปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป ก่อนออกแดดอย่างน้อย 20 นาที หรือสวมหมวกปีกกว้าง หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดเวลา 10.00-16.00 น. เพราะเป็นช่วงที่แดดจัด
- รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น ผลไม้ ผัก ธัญพืช และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูป อาหารที่มีไขมัน คาร์โบไฮเดรต น้ำตาลสูง เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงก่อให้เกิดสิว