รอยสิว หรือรอยแผลเป็นจากสิว มีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น รอยดำ หลุมสิว แผลเป็นนูน ซึ่งสามารถรักษาได้โดยการใช้ยาทา รวมถึงการเลเซอร์รอยสิวเพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และอาจช่วยทำให้รอยสิวลดเลือนลงได้
รอยสิวเกิดจากอะไร
รอยสิว ส่วนใหญ่มักเกิดจากสิวอักเสบ รวมถึงพฤติกรรมการบีบแกะสิว ที่ส่งผลให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีเข้มและปรากฏเป็นรอยสิวทิ้งไว้หลังจากสิวหาย
ประเภทของรอยสิวมีดังต่อไปนี้
- รอยดำ คือรอยสิวที่พบได้บ่อยมากที่สุด ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นในบริเวณที่มีการอักเสบของสิว ทำให้ผิวมีสีเข้ม เป็นจุดด่างดำ
- รอยแผลเป็นนูน มีลักษณะเป็นก้อนนูนแข็งใต้ผิวหนังบริเวณที่เคยเป็นสิว อาจมีขนาดเท่ากับหรือใหญ่กว่ารอยสิวเดิม ขึ้นอยู่กับความเสียหายของเนื้อเยื่อขณะเป็นสิว
- รอยสิวกว้าง (Boxcar Scar) เป็นรอยสิวแบบกว้าง มีลักษณะเป็นหลุมสิว มีขอบนูนอย่างชัดเจน
- รอยสิวตื้น (Rolling Scar) เป็นรอยสิวที่มีความกว้างและตื้น มีขอบรอยสิวที่ลาดเอียง ทำให้ผิวดูเป็นคลื่นไม่สม่ำเสมอกัน
- รอยสิวชนิดลึก (Icepick Scar) เป็นรอยแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรูเล็ก ๆ ที่มีความลึก คล้ายถูกของมีคมเล็ก ๆ เจาะลงไปในผิวหนัง พบได้มากในบริเวณแก้ม
การเลเซอร์รอยสิว
การเลเซอร์รอยสิว เป็นการฉายแสงความร้อนสูงไปบนผิวหนังที่ได้รับผลกระทบ เพื่อสลายเนื้อเยื่อแผลเป็น ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า และกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงขึ้นมาแทนที่ ช่วยให้รอยสิวดูจางลง ผิวดูเรียบเนียน
การเลเซอร์รอยสิวที่เป็นที่นิยม แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบด้วยกัน ดังนี้
- เลเซอร์ผลัดเซลล์ผิว (Ablative laser resurfacing) คือการเลเซอร์ด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ หรืออาจใช้การเลเซอร์ด้วยลำแสงที่มีความเข้มข้นสูง (YAG laser) เพื่อขจัดเซลล์ผิวชั้นบน เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยสิวลึก ผลข้างเคียงคืออาจทำให้มีอาการผิวแดงเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ จางลงภายในประมาณ 3-10 วัน
- เลเซอร์ที่ไม่ทำให้ผิวเลอก (Non-Ablative Laser Resurfacing) คือการเลเซอร์ลงไปในชั้นผิวหนัง เพื่อลดรอยแดง หรือรอยดำจากสิว
- เลเซอร์ที่ทำให้ผิวลอกเฉพาะส่วน (Fractionated Laser Resurfacing) คือการเลเซอร์แบบลอกผิวเฉพาะที่ เพื่อป้องกันเนื้อเยื่อใต้ผิวบริเวณอื่น ๆ ถูกรบกวน โดยวิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และขจัดเซลล์ผิวชั้นบนสุดของผิวหนัง เพื่อให้รอยสิวดูจางลง
ข้อควรรู้ในการเลเซอร์รอยสิว
ข้อควรรู้ในการเลเซอร์รอยสิว มีดังนี้
- การรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์ไม่สามารถทำให้รอยสิวหายไปได้โดยสมบูรณ์ แต่อาจทำให้รอยสิวค่อย ๆ จางลง ช่วยลดอาการปวดและอาการคัน และป้องกันไม่ให้เกิดแผลนูน ซึ่งอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาหลายครั้ง
- การเลเซอร์ผิวอาจมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นจึงควรควรศึกษาเกี่ยวกับสถานรักษาและประวัติคุณหมอ เพื่อประกอบการพิจารณา
- การเลเซอร์รอยสิวอาจมีผลข้างเคียง เช่น อาการคัน ผิวแดงบวม เจ็บปวดบริเวณที่เลเซอร์ มีรอยแผลเป็น เลือดออก อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้อาจหายได้เองประมาณ 10 วันหลังจากเลเซอร์ แต่หากมีอาการปวดอย่างรุนแรง และผิวแดงเข้มขึ้น ควรพบคุณหมอทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณการติดเชื้อ
วิธีดูแลผิวหลังเลเซอร์รอยสิว
วิธีดูแลผิวหลังเลเซอร์รอยสิว มีดังนี้
- ควรหลีกเลี่ยงการล้างหน้าหรือให้หน้าสัมผัสกับน้ำภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังทำเลเซอร์รอยสิว
- ทาครีม ปิโตรเลียมเจล และมอยส์เจอร์ไรเซอร์ตามคำแนะนำของคุณหมอ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและป้องกันการเกิดแผลหลังเลเซอร์สิว
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของน้ำมันเป็นเวลา 2-3 เดือน เพื่อป้องกันการอุดตันรูขุมขน
- หลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดด หรือทาครีมกันแดดที่เหมาะกับผิวหลังเลเซอร์