โบท็อก (Botox) คือโปรตีนที่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทที่สกัดมาจากแบคทีเรีย มีคุณสมบัติยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อ จึงนิยมนำมาฉีดเพื่อคลายกล้ามเนื้อและลบเลือนริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์บนใบหน้า และยังสามารถนำมาบรรเทาอาการของโรคบางอย่างได้ด้วย เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคตาขี้เกียจ ปัญหากระเพาะปัสสาวะ อาการไมเกรน ภาวะสมองพิการที่ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง การฉีดโบท็อกอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ จึงควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและปรึกษาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อก
[embed-health-tool-ovulation]
โบท็อก คืออะไร
โบท็อก หรือ โบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นพิษต่อระบบประสาท สกัดจากแบคทีเรียคลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ที่ออกฤทธิ์จับตัวกับปลายเส้นประสาทที่เชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อและทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นคลายตัว ซึ่งจะส่งผลให้ใบหน้าดูเต่งตึงและมีริ้วรอยน้อยลง และอาจช่วยลดขนาดกรามได้ จึงเป็นที่นิยมของผู้ที่สนใจลบเลือนริ้วรอยบนใบหน้าและต้องการให้หน้าดูเรียวมากขึ้น โดยโบท็อกจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 1-3 วันหลังฉีด แต่ก็อาจใช้เวลา 2-3 สัปดาห์จึงจะรู้สึกผลลัพธ์ที่ได้อย่างชัดเจน
ข้อแนะนำสำหรับผู้ฉีดโบท็อก
ผู้ที่ตัดสินใจทำโบท็อกควรศึกษาถึงข้อดี ข้อเสีย ผลข้างเคียง ความน่าเชื่อของสถานบริการอย่างละเอียดเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนเดินทางไปฉีด นอกจากนี้ควรปรึกษาคุณหมอก่อนฉีดและรับการรักษาจากคุณหมอผิวหนังที่เชี่ยวชาญเท่านั้น รวมไปถึงตรวจสอบเลข Lot. ของโบท็อกที่ใช้ฉีดกับทางสถานบริการว่าเป็นของแท้หรือไม่ก่อนฉีด และอาจถ่ายรูปกล่อง/ขวดหรือนำกลับด้วย
การรักษาภาวะสุขภาพด้วยโบท็อก
นอกจากการนำมาใช้ในวงการเสริมความงามแล้ว โบท็อกยังนำมาใช้บรรเทาอาการของภาวะสุขภาพต่อไปนี้ได้ชั่วคราว
- คอบิดเกร็ง เกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อคอหดตัวอย่างควบคุมไม่ได้ ทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ตามปกติ ทั้งยังทำให้ศีรษะบิดเอียงไปด้านข้าง ข้างหน้า หรือแหงนไปด้านหลัง บางครั้งอาจมีอาการสั่นกระตุกร่วมด้วย โบท็อกจะช่วยให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็งคลายตัวลงและช่วยบรรเทาอาการปวดได้
- การหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ภาวะสมองพิการและภาวะผิดปกติของระบบประสาทอื่น ๆ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการเคลื่อนไหวและท่าทางในเด็ก ทำให้กล้ามเนื้อกระตุกเกร็ง แขนบิดเข้าหาลำตัว และอาจทำให้ตากระตุุกด้วย คุณหมออาจใช้โบท็อกเพื่อคลายกล้ามเนื้อควบคู่ไปกับการทำออกกำลังกายในท่าที่เหมาะสมกับอาการของเด็ก
- โรคสายตาขี้เกียจ (Lazy eye) เกิดจากความสมดุลของกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่กลอกตา ทำให้ตาทั้งสองข้างทำงานไม่ประสานกัน ตาเหล่ มองเห็นไม่ชัดเจน โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับดวงตาเพียงข้างเดียว และมักรักษาให้หายได้สนิทได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ในเด็กที่อายุไม่เกิน 7 ปี โดยโบท็อกจะช่วยให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาหยุดทำงานชั่วขณะเพื่อให้สายตาทำงานประสานกันมากขึ้น
- ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ เป็นภาวะที่มีเหงื่อออกมากกว่าปกติ แม้ว่าจะไม่ได้ทำกิจกรรมทางกายหรืออยู่ในพื้นที่อากาศร้อน เนื่องจากความผิดปกติของระบบประสาท โดยโบท็อกจะยับยั้งการส่งสัญญาณประสาทที่สั่งให้ต่อมเหงื่อทำงาน
- ปวดศีรษะไมเกรน เป็นอาการปวดศีรษะเรื้อรัง ทำให้ปวดขมับตุบ ๆ ด้านใดด้านหนึ่งหรืออาจปวดข้างหนึ่งแล้วลามไปอีกข้าง ซึ่งอาการจะมีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง โบท็อกเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาไมเกรนเรื้อรังและอาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการได้หลายสัปดาห์
- ปัญหากระเพาะปัสสาวะ การฉีดโบท็อกอาจช่วยบรรเทาอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่เกิดจากภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (OAB) โดยจะใช้ในกรณีที่การรักษาด้วยวิธีอื่นใช้ไม่ได้ โดยทั่วไปผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 6-8 เดือน ผลข้างเคียงคืออาจทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
ความเสี่ยงของการฉีดโบท็อก
โดยทั่วไปการฉีดโบท็อกมีความเสี่ยงน้อยเมื่อฉีดด้วยโบท็อกที่ได้มาตรฐานโดยคุณหมอผิวหนังที่เชี่ยวชาญ โดยผลข้างเคียงที่อาจพบได้หลังฉีด อาจมีดังนี้
- ปวดศีรษะและมีอาการคล้ายไข้หวัดภายใน 24 ชั่วโมงหลังฉีด
- อาการบวมแดง หรือปวดบริเวณที่ฉีดโบท็อก
- หนังตาตก คิ้วโก่งเกินไป
- ตาแห้ง มีน้ำตาไหล ระคายเคืองตา
- ติดเชื้อบริเวณที่ฉีดโบท็อก
- ไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อได้มากเท่าปกติ
ในกรณีที่พบได้ไม่บ่อย การฉีดโบท็อกอาจทำให้เกิดอาการต่อไปนี้
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ปัญหาด้านการมองเห็น
- พูดไม่ชัด มีปัญหาด้านการกลืน
- ปัญหาด้านการหายใจ
- อาการแพ้ เช่น คันหรือบวมที่ใบหน้า ลิ้น ลำคอ ผื่นขึ้น วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง หายใจลำบาก
- ควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะไม่ได้
ใครควรหลีกเลี่ยงการฉีดโบท็อก
คนในกลุ่มต่อไปนี้ ควรหลีกเลี่ยงการฉีดโบท็อก
- มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง
- อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ให้นมบุตร เพราะยังไม่มีข้อมูลที่เพียงพอว่าสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยต่อเด็กและทารกในครรภ์
- มีความผิดปกติทางกล้ามเนื้อและระบบประสาท เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- มีการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะกลุ่มอะมิโนไกลโคไซด์ (Aminoglycoside) ยาที่ใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์อย่างกาแลนตามีน (Galantamine) ไรวาสติกมีน (Rivastigmine) ยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างแอมบีโนเนียม (Ambenonium) ไพริโดสติกมีน (Pyridostigmine) ยาต้านการแข็งตัวของเลือดอย่างวาร์ฟาริน (Warfarin) ควินิดีน (Quinidine)
ข้อปฏิบัติหลังการฉีดโบท็อก
วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อก อาจทำได้ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการบีบนวดหรือถูใบหน้าอย่างน้อย 3 วัน
- หลีกเลี่ยงการนอนราบเป็นเวลา 2-4 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้เลือดไหลเวียนไปสะสมที่ใบหน้า
- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหรือทำให้หน้าระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากหรือทำให้หน้าร้อนหรือแดง เช่น เข้าซาวน่า เข้ายิม ออกไปข้างนอกในช่วงแดดจัด การดื่มแอลกอฮอล์ การทำเลเซอร์ที่หน้า อย่างน้อย 2 วัน
- หากมีอาการบวมช้ำให้ประคบด้วยผ้าชุบน้ำแข็ง หลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำแข็งสัมผัสผิวหนังโดยตรง ภายใน 24 ชั่วโมงหลังฉีด
- โบท็อกจะอยู่ได้นานประมาณ 3-4 เดือน หากต้องการฉีดซ้ำควรรออย่างน้อย 3 เดือนเพื่อให้โบท็อกทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ