อาการผื่นแพ้ยา (Drug Rash) เป็นปฏิกิริยาที่ผิวหนังตอบสนองต่อยาบางชนิด โดยส่วนใหญ่มักเป็นยาประเภท ยาต้านชัก ยากลุ่มเอนเสด (Non-Steroidal Anti-Inflammatory หรือ NSAIDs) อาการแพ้ยา ส่งผลให้ผื่นขึ้นผิวหนัง มีไข้สูง หายใจลำบาก โดยปกติมักสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาแก้แพ้ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีอาการแพ้อย่างรุนแรง อาการแพ้ไม่หายไปแม้จะรับประทานยาแก้แพ้แล้ว ควรเข้าพบคุณหมอในทันที
[embed-health-tool-vaccination-tool]
สาเหตุที่ทำให้เกิด อาการแพ้ยา
ผื่นที่เกิดจากปฏิกิริยา อาการแพ้ยา นั้น เกิดจากหลายสาเหตุหลายปัจจัยด้วยกัน ดังต่อไปนี้
- การแพ้ยาที่ส่งผลต่อผิวหนังและเยื่อบุจากกลไกทางภูมิคุ้มกัน
- ยาที่ส่งผลให้ผิวไวต่อแสง
- การติดเชื้อไวรัสและการรับประทานยาปฏิชีวนะ
รวมถึงปัจจัยดังต่อไปนี้ ที่อาจส่งผลให้เกิดอาการผื่นแพ้ยา
- ประวัติการแพ้ยาอื่น ๆ เช่น การแพ้อาหาร ไข้ละอองฟาง
- เคยมีประวัติการแพ้ยา หรือสมาชิกในครอบครัวเคยมีประวัติการแพ้ยา
- การใช้ยาซ้ำ ๆ ในปริมาณที่มากขึ้นเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน
- การเจ็บป่วยจากปฏิกิริยาการแพ้ยา เช่น การติดเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus : HIV) การติดเชื้อไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein Barr Virus หรือ EVB)
ลักษณะกลุ่มยาที่ทำให้เกิด อาการแพ้ยา
สำหรับกลุ่มยาที่ทำให้เกิด อาการแพ้ยา จนเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหนังเกิดอาการผื่นแพ้ยา มีดังต่อไปนี้
- ยาปฏิชีวนะ ยาเพนิซิลลิน (Penicillin) ยาซัลฟา (Sulfa drugs) ยาเซฟาโลสปอริน (Cephalosporins) ยาต้านอาการชัก(Anticonvulsant) ยาอัลโลพูรินอล (Allopurinol)
- กลุ่มยาเอนเสด ยาลดความดันโลหิต ยาเพนิซิลลิน (Penicillin) ยาชาทั่วไป
- กลุ่มยาไวต่อแสง ยาแก้แพ้ ยาขับปัสสาวะ ยาต้านเชื้อรา ยาปฏิชีวนะบางชนิดรวมถึงยาเตตตราไซคลีน ยาสแตติน (Statin)
วิธีการรักษาอาการผื่นแพ้ยา
ในเบื้องต้นแพทย์จะสอบถามประวัติและอาการของผู้ป่วย ตรวจดู อาการแพ้ยา โดยส่วนใหญ่เมื่อหยุดใช้ยาที่ทำให้เกิดผื่น ผื่นจะค่อย ๆ หายไปเอง หากมีอาการผื่นคันรุนแรง แพทย์อาจให้ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamine) หรือกลุ่มยาสเตียรอยด์ (Steroid) เพื่อบรรเทาอาการผื่นคัน