โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อราชนิดต่าง ๆ ที่ผิวหนัง สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วทั้งร่างกาย โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากการดูแลสุขอนามัยที่ไม่ถูกต้อง หรือการสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อรา จนส่งผลให้ผิวหนังอักเสบ คัน ระคายเคือง บางคนอาจมีอาการรุนแรงจนทำให้เกิดแผลได้ ดังนั้น จึงควรเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาโดยคุณหมอ พร้อมปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรา
[embed-health-tool-bmi]
คำจำกัดความ
โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา คืออะไร
โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา คือ ปัญหาทางผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราหลากหลายสายพันธุ์ ที่ส่วนใหญ่มักอาศัยอยู่ในดิน น้ำ ต้นไม้ หญ้า รวมถึงพื้นบ้าน สัตว์เลี้ยง และสิ่งของต่าง ๆ หากสัมผัสกับผิวหนังอาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองผิว นำไปสู่อาการผิวหนังอักเสบได้
อาการ
อาการของโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา
อาการของโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา อาจสังเกตได้ดังนี้
สาเหตุ
สาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา
สาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราเกิดขึ้นจากการติดเชื้อราชนิดต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้
- กลาก เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราไตรโครไฟตอน ไมโครสปอร์รัม (Trichophyton Microsporum) และเอพิเดอร์โมไฟตอน (Epidermophyton) ที่อาศัยอยู่ในเซลล์ชั้นนอกของผิวหนัง สามารถติดต่อผ่านทางคนสู่คน สัตว์สู่คน รวมถึงการสัมผัสกับสิ่งรอบตัวที่ปนเปื้อนเชื้อรา เช่น ดิน ผ้าขนหนู ผ้าปูที่นอน แปรงหวีผม สามารถสังเกตกลากได้จากรอยวงสีแดง น้ำตาล หรือม่วง บนผิวหนัง มีขุยสีขาวหรือตกสะเก็ดเล็กน้อยบริเวณขอบผื่น บริเวณแขน ขา ลำตัว และก้น ร่วมกับอาการคัน บางคนอาจมีรอยกลากกระจายทั่วร่างกาย
- น้ำกัดเท้า หรือฮ่องกงฟุต เกิดจากการติดเชื้อราชนิดเดียวกับกลาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับเท้าข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง ทำให้เกิดอาการเจ็บแสบ มีสะเก็ด ผิวลอก แผลพุพอง ผิวเท้าแตก อาการคัน สีผิวเปลี่ยนเป็นสีแดง ม่วง
- เกลื้อน เกิดจากการเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia) ทำให้เกิดจุดเล็ก ๆ รอบรูขุมขนหรืออาจรวมตัวกันเป็นปื้นขนาดใหญ่ บางคนอาจมีสีซีดหรือสีเข้มกว่าสีผิวปกติ พบได้บ่อยในบริเวณผิวหนังที่มีการผลิตน้ำมันปริมาณมาก เช่น ใบหน้า คอ หน้าอก และหลัง
- การติดเชื้อราแคนดิดา (Candida) พบได้มากในช่องปาก ลำคอ ลำไส้ และช่องคลอด ทำให้เกิดจุดสีขาวบริเวณกระพุ้งแก้ม ลิ้น เพดานปาก ลำคอ อาการแสบภายในช่องปากขณะรับประทานอาหาร รับรสชาติไม่ได้ มีรอยแตกที่มุมปาก หากเป็นบริเวณช่องคลอดอาจมีอาการระคายเคือง ตกขาวเป็นน้ำใสหรือข้น และแสบร้อนช่องคลอดขณะปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์
- เชื้อราที่เล็บ คือการติดเชื้อรากลุ่ม Dermatophyte ที่พบได้บ่อยตามสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่มีความชื้น เช่น สระน้ำ ห้องอาบน้ำ สามารถเกิดได้ทั้งกับเล็บมือและเล็บเท้า ทำให้เล็บหนาหรือเล็บเปราะบาง แตกหักง่าย เล็บผิดรูป มีกลิ่นเหม็น มีขุยหนาใต้เล็บ และเล็บอาจเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เหลือง ขาว
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา มีดังนี้
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ พบได้มากในผู้ป่วยที่รักษาด้วยเคมีบำบัด ผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ รวมถึงผู้ที่ใช้ยารักษาโรคเอดส์ โรคมะเร็ง ปัญหาเกี่ยวกับตับอ่อน
- การใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น เสื้อผ้า ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว
- การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา ที่ต้องสัมผัสกับผู้อื่น
- การสวมเสื้อผ้ารัดแน่น ทำให้ระบายอากาศได้ไม่ดี
- สภาพอากาศที่อับชื้น
- การเป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคอ้วน
- การไม่สวมรองเท้าเมื่อสัมผัสกับพื้นผิวที่เปียกน้ำ เช่น รอบสระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำรวม แอ่งน้ำขัง
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา
คุณหมออาจวินิจฉัยโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราด้วยการนำตัวอย่างเศษผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อไปตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อหาดูว่าเป็นเชื้อชนิดใด
การรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา
การรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา อาจรักษาได้ด้วยการทายาต้านเชื้อในรูปแบบครีม โลชั่น หรือขี้ผึ้ง บริเวณที่มีอาการเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ โดยยาต้านเชื้อราที่คุณหมอแนะนำ มีดังนี้
- โคลไตรมาโซล (Clotrimazole) คือยาที่ใช้รักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา ใช้ทาบริเวณผิวหนังที่ได้รับผลกระทบ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อรา
- คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) เป็นยาต้านเชื้อรามีในรูปแบบครีมและแชมพู ใช้สำหรับต้านเชื้อราที่ผิวหนังและหนังศีรษะ ช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราซ้ำ สำหรับการใช้ทาบนผิวหนัง ควรทายาก่อนลงโลชั่นหรือครีมอื่น ๆ เป็นเวลา 30 นาที วันละ 1 ครั้ง ทาต่อเนื่อง 2-4 สัปดาห์ สำหรับยาแบบแชมพู ควรใช้สระผมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ต่อเนื่องกัน 2-4 สัปดาห์ และควรใช้จนกว่าอาการจะดีขึ้น หรือจนกว่าคุณหมอจะอนุญาตให้หยุดใช้
- ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) เป็นยาที่ช่วยรักษาการติดเชื้อราที่รุนแรง ใช้เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อรา มีในรูปแบบสารละลาย และแคปซูล ควรรับประทานวันละ 1-2 ครั้ง สำหรับผู้ที่มีกรดในกระเพาะอาหารมาก ควรรับประทานยานี้ก่อนหรือหลังจากยาลดกรด 1-2 ชั่วโมง
- ฟลูโคนาโซล (Fluconazole) คือยายับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราบางชนิด เป็นยาในรูปแบบรับประทานวันละ 1 ครั้ง
- ซีลีเนียม ซัลไฟด์ (Selenium sulfide) เป็นยาในรูปแบบโลชั่นและแชมพู เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคกลาก เกลื้อน และการติดเชื้อราอื่น ๆ โดยใช้ทาบนผิวหนังวันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราบนหนังศีรษะ ควรใช้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 2 สัปดาห์ จากนั้นลดลงเหลือสัปดาห์ละ 1 ครั้งใน สัปดาห์ถัดไป
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา
การปรับไลฟ์สไตล์เพื่อป้องกันโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา อาจทำได้ดังนี้
- ไม่ควรใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า หวี
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยง เพราะเชื้อราอาจอยู่บนผิวหนังของสัตว์และแพร่มาสู่คนได้
- ควรล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากสัมผัสกับสิ่งรอบตัว เช่น ประตู ราวจับบันได ดิน ทราย สัตว์เลี้ยง
- สวมเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้าย และไม่ควรใส่เสื้อผ้าหลายชั้นในสภาพอากาศร้อน เพราะอาจทำให้เหงื่อออกมาก จนอับชื้น และมีสิ่งสกปรกสะสมใต้ร่มผ้า
- เช็ดตัวหลังอาบน้ำให้แห้งสนิท เพื่อลดความอับชื้นที่อาจเป็นตัวกระตุ้นการเจริญเติบโตของเชื้อรา
- หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า ควรสวมร้องเท้าเมื่ออยู่ในบริเวณที่มีน้ำขัง เช่น ขอบสระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำรวม และควรล้างเท้าให้สะอาดและเช็ดเท้าให้แห้ง
- ตัดเล็บเท้าและเล็บมือให้สั้นเพื่อลดการสะสมของเชื้อราในเล็บ และไม่ควรใช้กรรไกรตัดเล็บร่วมกับผู้อื่น
- สวมรองเท้าที่พอดีกับขนาดเท้า เพื่อป้องกันการขับเหงื่อที่มากเกินไปขณะใส่ และควรทิ้งหรือทำความสะอาดรองเท้าเก่าเพราะอาจมีการสะสมของเชื้อรา
- ควรใช้ยาทาเชื้อราตามที่คุณหมอแนะนำอย่างสม่ำเสมอจนกว่าจะหาย