backup og meta

ปวดท้องบิด เกิดจากอะไร และวิธีดูแลตัวเอง

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 20/02/2024

    ปวดท้องบิด เกิดจากอะไร และวิธีดูแลตัวเอง

    ปวดท้องบิด เป็นความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนท้องถูกมัดเป็นปมในบริเวณใดก็ได้ โดยอาจอยู่ระหว่างด้านล่างของซี่โครงและกระดูกเชิงกราน ซึ่งอาการปวดท้องบิดอาจหายไปเองหรืออาจปวดรุนแรงมาก อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดท้องบิดเกิดขึ้นอย่างเรื้อรังเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยอาการและทำการรักษา

    ปวดท้องบิด เกิดจากอะไร

    ปวดท้องบิด เป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นได้ในหลายตำแหน่ง เช่น ท้องส่วนบน ท้องส่วนบนขวา บริเวณใกล้สะดือ ท้องล่างขวา โดยอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น แก๊สในกระเพาะมากเกินไป เป็นตะคริวที่ท้องเนื่องจากกระเพาะและลำไส้อักเสบจากเชื้อไวรัส รวมถึงยังอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบย่อยอาหารและลำไส้ที่ไม่รุนแรง เช่น

    • ท้องผูก ท้องเสีย
    • อาหารไม่ย่อย
    • ไข้หวัดลงกระเพาะ
    • ลำไส้แปรปรวน
    • แพ้อาหาร แพ้แลคโตส
    • อาหารเป็นพิษ

    หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ที่ร้ายแรง เช่น

    • มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งอวัยวะอื่น ๆ
    • ไส้ติ่งอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี
    • หลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องท้องโป่งพอง
    • ลำไส้อุดตัน โรคลำไส้อักเสบ
    • กรดไหลย้อน
    • ลำไส้ขาดเลือด
    • ตับอ่อนอักเสบ

    อาการปวดท้องบิดที่เกิดจากความผิดปกติของอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น

    • ปวดประจำเดือน
    • โรคหัวใจและหลอดเลือด
    • ปอดอักเสบ
    • การตั้งครรภ์
    • ถุงน้ำรังไข่แตก
    • โรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ
    • นิ่วในไต
    • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
    • การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

    นอกจากนี้ อาการปวดท้องบิดยังอาจมีสาเหตุมาจากผลข้างเคียงของยา เช่น

    • ยาแอสไพริน
    • ยาต้านการอักเสบ
    • ยารักษาโรคสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์

    อาการที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกับอาการปวดท้องบิด

    บางครั้งอาการปวดท้องบิดยังอาจเกิดพร้อมกับอาการปวดแสบปวดร้อน เป็นตะคริวที่ท้อง ท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะอาหาร การผายลม เรอ มีไข้ ขาดน้ำ เสียดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรือรู้สึกสูญเสียความอยากอาหาร

    เมื่อไหร่ควรเข้าพบคุณหมอ

    อาการปวดท้องบิดอาจเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันหรือเกิดขึ้นอย่างเรื้อรัง ดังนั้น หากมีอาการที่รุนแรงหรือมีอาการต่อไปนี้ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยอาการ

    • ปวดท้องบิดรุนแรง หรืออาการแย่ลง
    • อาการปวดท้องบิดเกิดขึ้นหลายชั่วโมงหรือมากกว่านั้น
    • อาการปวดท้องบิดรบกวนการนอนหลับ
    • อาการปวดแพร่กระจายไปยังคอ หน้าอก หรือไหล่
    • อาการปวดท้องทำให้กลืนลำบาก หรือความอยากอาหารลดลง
    • มีเลือดออกจากลำไส้ หรือมีเลือดปนในปัสสาวะ
    • เลือดออกทางช่องคลอด
    • นิสัยการขับถ่ายเปลี่ยนไป โดยไม่สามารถปัสสาวะ อุจจาระ หรือผายลมได้ตามปกติ
    • อาเจียนอย่างต่อเนื่อง มีไข้สูง ผิวเหลือง
    • ท้องบวม น้ำหนักลดลงโดยไม่มีสาเหตุ

    วิธีดูแลตัวเองเมื่อปวดท้องบิด

    การรักษาอาการปวดท้องบิดอาจขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ เช่น ความผิดปกติของระบบย่อยอาหารและลำไส้ ผลข้างเคียงของยา (เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ยาลดการอักเสบ)ดังนั้น การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการรับประทานอาหารอาจช่วยลดอาการปวดท้องบิดได้ ดังนี้

    • รับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ หลายมื้อและรับประทานอาหารช้า ๆ เพื่อให้อาหารย่อยได้ง่ายและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดดอาการท้องอืด แก๊สในกระเพาะอาหาร และป้องกันอาการปวดท้องบิดได้
    • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น
    • ดื่มน้ำอุณหภูมิห้อง เนื่องจากการดื่มน้ำเย็นอาจส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหารและอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องบิดได้
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแก๊สสูงหรือย่อยยาก เช่น เบียร์ น้ำอัดลม โซดา กะหล่ำปลี ถั่ว ธัญพืช
    • จัดการกับความเครียด เนื่องจากฮอร์โมนความเครียดอาจส่งผลให้ระบบย่อยอาหารและลำไส้ทำงานลดลง ซึ่งอาจทำให้มีอาการปวดท้องบิดได้
    • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
    • ออกกำลังกายเป็นประจำ และไม่นอนหลังจากรับประทานอาหาร เพื่อให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    พลอย วงษ์วิไล


    เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 20/02/2024

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา