ปู ไปรยา ลุนด์เบิร์ก เป็นหนึ่งในหญิงไทยที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยและสามารถไปเฉิดฉายในระดับอินเตอร์ด้วยความสามารถ ความรักในอาชีพ และความทะเยอทะยาน ตั้งแต่ช่วงก่อนโควิดระบาด ปูย้ายมาอยู่เมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เรียนการแสดงและแคสงานต่าง ๆ ภาพยนตร์ฮออลีวูดเรื่อง Paradise City ที่ปูแสดงนำร่วมกับ จอห์น ทราโวลต้า และ บรู๊ซ วิลcลิส กำลังจะเข้าฉายภายในปี พ.ศ. 2565 นี้ นอกจากนี้ ปูยังทำธุรกิจร้านอาหารเพื่อสุขภาพในประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า Freshly by Praya
เนื่องในวันสตรีสากลโลก (International Women’s Day) Hello คุณหมอ ได้มีโอกาสพูดคุยกับปูเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพ การใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายในสหรัฐอเมริกา และเคล็ดลับในการใช้ชีวิตให้มีความสุข
มีเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพกายและใจอย่างไรบ้างคะ
ปูมองว่าการออกกำลังกายมันสำคัญมาก การที่ได้ขยับเขยื้อนร่างกาย มีเหงื่อออก เพราะว่าสุดท้ายแล้วมันก็สอดคล้องและพ่วงกันหมดเลย สุขภาพใจก็เกี่ยวกับการที่เราดูแลร่างกาย เมื่อก่อน ปูวิ่งมาราธอน ปูค่อนข้างจริงจังกับการออกกำลังกายมาก แต่ตอนนี้ปูจะทำเพื่อ wellness (สุขภาพ/ความสุขสมบูรณ์) มากกว่า ก็คือไม่เหมือนเมื่อก่อน คือไม่ได้เน้นว่าต้องมีซิกแพคตลอดเวลา แต่กล้ามเนื้อหน้าท้องก็ยังดูดี มองว่าไม่ต้องกดดันตัวเองมาก ไม่ต้องอดอาหาร ไม่ต้องกินคลีนมาก เมื่อก่อนที่ปูคลีนแบบคลีนมากเลย แต่ตอนนี้ปูแค่ไม่กินเนื้อวัว ไม่กินอาหารแปรรูป กินน้ำตาลน้อย ไม่กินอะไรที่เป็นสารเคมี เมื่อก่อนก็จะงดแอลกอฮอล์ไปเลยช่วงนึง แต่ตอนนี้ก็อาจจะยังดื่มไวน์บ้าง ดื่มอะไรเบา ๆ คืออะไรที่เป็นการดูแลตัวเอง การักตัวเอง ปูก็จะทำมากกว่า
สำหรับด้านจิตใจ เมื่อก่อนเป็นคนที่อินกับการเข้าวัด ต้องทอดกฐิน ต้องทำที่เกี่ยวกับการสร้างบารมี แต่ช่วงหลังออกแนวจิตวิญญาณมากกว่า ก็คือการนั่งสมาธิ การมีสุขภาพจิตที่ดี จะเน้นพลังงานและกระแสจิตมากกว่า ก็เปลี่ยนไปเยอะนะ คือทำทุกอย่างเพื่อให้มี wellness ที่ดี จริง ๆ ปูเป็นคนที่ซึมเศร้าง่ายมาก เป็นโรคซึมเศร้ามาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วเป็นสิ่งที่คนไม่ค่อยรู้หรอกว่าเราเป็น เพราะคนก็มองว่าเราสตรอง แต่มันจะเกี่ยวหมดเลย อาหารการกิน การใช้ชีวิต การปรับความคิดเห็นตัวเอง การออกกำลังกาย ทุกอย่างช่วยให้อาการนี้ดีขึ้น แล้วก็เป็นสิ่งที่ปูโฟกัสหนักมาก คือทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองเบาและสบายใจ เช่น ไม่เล่นอินสตาแกรมเยอะ ปูจะจำกัดแค่วันละ 15 นาที
เปลี่ยนแนวคิดในการดูแลตัวเองแบบสุดโต่งมาเป็นแนวบาลานซ์ตั้งแต่ตอนไหนคะ
เปลี่ยนตั้งแต่โควิดค่ะ พอโควิดเกิดขึ้นก็รู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องเอ็กซ์ตรีม (extreme) บางครั้งเอ็กซ์ตรีมเพราะเราต้องการกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเอง เหมือนเวลาคนทำอะไรเอ็กซ์ตรีมเกินไปมันก็ไม่ดี เอ็กซ์ตรีมที่บังคับให้ตัวเองร่างกายหุ่นเพรียว มัน เหมือนกดดันตัวเองโดยไม่จำเป็น ตั้งแต่เกิดโควิด มองว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือมีกรอบความคิดที่ดี มีสุขภาพที่แข็งแรง ออกกำลังกายเยอะเกินก็ไม่ได้แปลว่ามีสุขภาพที่ดี ถ้าเรากดดันตัวเองเกินมันก็ไม่ดี ก็เลยทำให้ทุกอย่างมันเบาสบาย อยู่อย่างมีความสุข
มีตารางในการออกกำลังกายอย่างไรบ้าง
จะมีต่อยมวยอาทิตย์ละ 2 วัน พิลาทิส 2 วัน วิ่งทางไกล 1 วัน แล้วก็โยคะ 1 วัน ก็คือออกกำลังกายเกือบทุกวัน แต่ก็เป็นแบบวันละ 1 ชั่วโมง แล้วก็จะมีสลับคาร์ดิโอกับเวทเบา ๆ กับพิลาทิส ส่วนนั่งสมาธิ จะนั่งบ่อย ประมาณวันละ 15 นาที
ทำไมถึงจำกัดการเล่นโซเชียล แล้วส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ
เล่นน้อยมากค่ะ ถ้าดูอินสตาแกรมของปู ปูจะสร้างคอนเทนต์น้อยมาก แล้วไม่ค่อยชอบแต่งรูป คือแต่งโดยใช้แอพโทรศัพท์นิด ๆ หน่อย ๆ แต่ไม่ได้แต่งเยอะ รู้สึกว่าอยากรู้สึกดีกับสิ่งที่ตัวเองเป็น ในแบบที่ตัวเองเป็น
การสร้างคอนเทนต์มันต้องใช้เวลาเป็นวัน ต้องมานั่งหาชุด เลือดชุด เอาช่างภาพมา เลือกภาพ แต่งภาพ ช่วงหลังรู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้แคร์ว่าคนติดตามจะมากขึ้นหรือจะลดลง ไม่ได้แคร์ว่าคนจะเข้ามาด่าหรือไม่ด่า ปูปลงกับทุกเรื่องแล้ว เพราะมองว่ามันไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก ก็คือการแสดงหนัง ได้ทำงานที่ตัวเองสนใจ ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความจริง แล้วพอเราใช้ชีวิตแบบนี้ เราก็จะเฉย ๆ ช่วงหลังไม่ค่อยอินอะไรมาก นอกจากการดูตัวเองจริง ๆ ดูแลตัวเองอย่างถูกต้องด้วยนะ ไม่ได้ดูแลตัวเองเพื่อให้คนอื่นเห็น แต่ดูเพื่อตัวเอง ก็เลยมีลิมิตในการเล่นอินสตาแกรม เพราะการเล่นอินสตาแกรมทำให้เราต้องรับรู้พลังงานเต็มไปหมด เราดูชีวิตคนอื่นแล้วก็มาเปรียบเทียบ ธรรมชาติของมนุษย์คือการเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบก็ทำให้เรามีความสุขน้อยลงในชีวิตจริง เพราะไม่มีใครมีความสุขจริง ๆ หรอก ไม่มีใครพร้อมขนาดนั้นจริง ๆ หรอก เราไม่ควรจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เพราะมันทำให้เราไม่มีความสุขกับปัจจุบัน ชีวิตเราจะตายพรุ่งนี้รึเปล่าเรายังไม่รู้เลย บางคนคือเดินข้ามถนนก็โดนรถชนแล้ว แล้วเราจะเอาเวลามาทุกข์ทำไม ช่วงหลังก็เลยเฉยไปเลย ตอนเจอกระแสดราม่า คนติดตามตก ก็ช่างมัน ไม่ได้แคร์ เพราะเราต้องอยู่ในโลกของความจริง
คำว่า wellness สำหรับปู หมายถึงอะไร
ความหมายของปูคือ สุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นคนที่เล่นเวท มีซิกแพค หรือมีหุ่นเพอร์เฟกต์ แต่หมายถึงเวลาไปตรวจสุขภาพ น้ำตาลปกติใช่ไหม คอเลสเตอรอลปกติใช่ไหม ใช้ชีวิตในเชิงไม่เครียดใช่ไหม คอร์ติซอล (Cortisol หรือฮอร์โมนความเครียด) ระดับต่ำ เพราะไม่ได้เป็นคนเครียดมาก การฝึกหายใจให้เป็น การมีสมาธิ มันช่วยให้เรามีระบบหายใจที่ดีขึ้น การหายใจเป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อไหร่ที่มนุษย์เลิกหายใจ ถ้าหายใจไม่ได้ก็คือตาย เพราะฉะนั้นการหายใจสำคัญมาก
Wellness ที่แท้จริงสำหรับปู คือ believing (ความเชื่อ) exercise (การออกกำลังกาย) diet (อาหาร) และ mindset (กรอบความคิด) 4 อย่างนี้สำคัญมาก diet ก็คือการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นอาหารที่ทำให้เราผอม ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นอาหารที่เป็นคลีน แต่บอกว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่ามีสารอาหารครบถ้วน เลือกอาหารที่มันดีต่อเรา mindset ที่ดี ก็คือ Live with gratitude. Be gentle to yourself เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพ แค่ไหน
ตรวจค่ะ ตรวจตลอด ตรวจปีละครั้ง ปูเป็นคนที่จริงจังกับเรื่องนี้มาก ตรวจคอเลสเตอรอล ตรวจค่าตับ ตรวจทุกอย่าง ตรวจบ่อยมากขึ้น เพราะอายุ 32 ย่าง 33 แล้วก็เลยต้องตรวจมากขึ้น ควรจะตรวจแมมโมแกรม (mammogram) ควรจะตรวจแปปสเมียร์ (pap smear) ตรวจทุก 6 เดือน ต้องดูแลตัวเอง เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่เราจะเจออะไรที่ผิดปกติ แล้วคนรุ่นใหม่เครียด เครียดตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แล้วมองว่าการดูแลตัวเองก็คือ จะกินอะไรก็กิน จะกินไวน์เพื่อคลายเครียด แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ การดูแลตัวเองคือการหายใจให้ถูกต้อง ขยับร่างกายตัวเอง บางวันเวลาปูโดนคนด่าปูก็เครียดนะ เครียดปุ๊บก็ออกไปเดิน ปูรู้ว่า การทำงาน กินเยอะ อาหารที่กิน ความเครียด มันทำให้เราเป็นมะเร็งหรือเป็นโรคได้ การที่เราตรวจเจอเร็วก็แก้ได้เร็ว
คิดว่าทำไมผู้หญิงถึงไม่ค่อยไปตรวจสุขภาพกัน
เพราะมันเป็นความรู้สึกที่อึดอัด ปูเองก็ไม่ชอบ ไม่อยากไปตรวจ แต่มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราใส่ใจเรื่องพวกนี้ เพราะคนรุ่นใหม่เป็นมะเร็งเยอะมาก เยอะกว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่เราอีก ขนาดคลินิกผิวหนังเรายังเข้ากันได้บ่อยเลย ทำไมเรื่องร่างกายข้างในเราจะตรวจไม่ได้
ตั้งแต่กลับมาโฟกัสที่ตัวเอง ดูแลตัวเองจริง ๆ มันให้อะไรกับชีวิตบ้าง
ชีวิตดีขึ้นเยอะ มีความสุข เฉยๆ มาก แล้วพอเรามีความสุข ทุกอย่างมันก็จะมา โดยที่เราไม่ต้องไปไขว่คว้า เมื่อก่อนปูต้องไปวิ่งทะเยอทะยาน แฟชั่นวีค เดินคานส์ พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้คนมาสนใจ แต่ตอนนี้รู้สึกว่า เฉยๆ กับทุกอย่าง สิ่งที่มันควรเป็นของเรามันจะมาด้วยตัวเอง พยามยามที่จะทำให้ตัวเองมีฝีมือขึ้น พยายามไปเรียน ไปไขว่คว้าความรู้ แต่พยายามให้เราเป็นที่ยอมรับของคนอื่น เราไม่พยายามแล้ว เฉย ๆ เป็นหรือไม่เป็นไม่สำคัญ คำว่า กระแส เป็นสิ่งที่ปูไม่แคร์มันแล้วจริง ๆ แล้วพอเป็นแบบนั้นเราก็จะมีความสุขมาก เพราะเราไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น เขาจะรักหรือชอบเรามันไม่สำคัญ มันอยู่ที่ตัวเรา
สำหรับผู้หญิงที่มองว่าตัวเองไม่มีอะไรดี หรือมองว่าตัวเองไร้ค่า คุณปูจะพูดกับเขาเหล่านั้นอย่างไร
ทุกคนมีดี ผู้หญิงเป็นเพศที่กดดันตัวเองมาก มากโดยนิสัย เพราะโดยนิสัยผู้หญิงเราจะคิด เราจะพยายามดีกับทุกคน แต่เรากลับไม่ดีกับตัวเอง อย่างเช่น คนเป็นแม่ ก็จะอุทิศตัวเองให้สามี ให้ลูก โดยมองว่าคือการทำดีที่สุดแล้ว แต่จริง ๆ ดีที่สุดคือการดูแลตัวเองก่อน เราไม่สามารถดูแลคนอื่นได้ ถ้าเราไม่ดูแลตัวเอง
แล้วผู้หญิงทุกคนก็จะมองว่า ฉันไม่มีเวลาทำนู่นนี่ ฉันไม่ดีอย่างนู้นนี้ เพราะดูดาราคนนั้นเขาเอวเล็กขนาดนี้ ดูดาราคนนี้สวยแบบนี้ ดาราคนนี้มีความรักแบบนี้ ผู้ชายซื้อของให้แบบนี้ มันไม่มีชีวิตไหนที่เพอร์เฟกต์หรอก ชีวิตที่เรามี วินาทีนี้ที่เรามี คือวินาทีสุดท้ายที่เราจะมีแล้วนะ เราจะไม่เด็กไปกว่าวินาทีนี้แล้ว ทุกวินาทีที่หายไป ก็คือเราแก่ขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นก็จงมีความสุขกับวินาทีนี้ไปเถอะ ดูแลตัวเองไปเถอะ เหมือนเวลาขึ้นเครื่องบินแล้วเกิดเหตุฉุกเฉิน เขายังบอกเลยให้เอาหน้ากากออกซิเจนใส่ตัวเองก่อนที่จะใส่ให้คนอื่น เพราะถ้าเราไม่ดูแลตัวเอง เราก็ดูแลคนอื่นไม่ได้ เรื่องพวกนี้สำคัญ แล้วปูมองว่า ผู้หญิงชอบมองว่าเราต้องรับผิดชอบครอบครัวก่อน แล้วรับผิดชอบตัวเองสุดท้าย แต่จริง ๆ แล้วการรักตัวเองไม่ใช่เรื่องที่เห็นแก่ตัวเลย เรารักตัวเองให้ถูกนะ ไม่ใช่รักตัวเองให้ผิด รักตัวเองให้ถูกก็คือการให้เวลากับตัวเองบ้าง แล้วพอเราให้เวลากับตัวเองเป็น เราก็จะเริ่มรักตัวเองมากขึ้น แล้วเราก็จะเริ่มเห็นคุณค่าตัวเองมากขึ้นไปเอง
คุณปูจะให้กำลังใจ หรือเชิญชวนผู้หญิงให้มาดูแลสุขภาพอย่างไรได้บ้างคะ
ปูว่าคนเรามองเรื่องภายนอกสำคัญ เช่น มัวแต่ห่วงว่าจะมีกระเป๋าแบรนด์เนมไหม จะมีเงินเดือนที่มากกว่านี้ไหม มีคนติดตามมากขึ้นไหม มีแฟนที่เลี้ยงดูหรือหล่อไหม มีความรักที่ดีไหม ลองสังเกตดูเวลาที่คนไหว้พระขอพร เรื่องสุดท้ายที่คนขอกันคือเรื่องสุขภาพ เขาไม่ได้แคร์มาก คนจะขอเรื่องสุขภาพในวันที่ตัวเองป่วย ถูกไหม แต่สุขภาพคือพื้นฐานของชีวิตที่ดี เพราะฉะนั้นเรื่องภายนอกช่างมันเถอะ เรื่องสุขภาพสำคัญสุด วันนี้เรากินอะไรที่มีประโยชน์หรือเปล่า วันนี้ พอเรารู้สึกตึงเครียด เราวางโทรศัพท์แล้วไปนั่งนิ่ง ๆ กับตัวเองบ้างไหม แต่บางครั้งเราหมกมุ่นกับเรื่องที่ไม่ควรจะหมกมุ่น
ถ้าอยากจะมีชีวิตที่ดี ๆ ก็คือทำเรื่องที่สำคัญที่สุดก่อน ก็คือสุขภาพจิตใจ สุขภาพร่างกาย สุขภาพข้างในเนี่ยสำคัญมาก อย่างอื่นจะตามมาเอง แล้วบางครั้งเราอาจจะรู้ตัวว่าสิ่งที่เราไขว่คว้า จริง ๆ แล้วเราไม่ได้อยากได้มันก็ได้ เหมือนปู ที่สุดท้ายก็รู้ว่า เราไม่ได้อยากได้อะไรแล้ว ความสำเร็จไม่ได้มอบความสุขให้เราหรอก การมีความสุขในชีวิตจริง ๆ ของเรา แล้วรู้ว่าเราเป็นคนยังไง รู้ว่าคุณค่าของเราคืออะไร รู้ว่าใช้ชีวิตอย่างไร อันนี้เป็นสิ่งสำคัญสุด คนภายนอกจะคิดยังไงไม่สำคัญ คุณค่าของตัวเราเอง เราต้องพิสูจน์ด้วยตัวเรา นั่นแหละคือความสุขที่แท้จริง
เป้าหมายในชีวิตตอนนี้คืออะไร
มีความสุข มีความสุขในทุก ๆ วัน ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรยาว ๆ โควิดทำให้เห็นเลยว่าอะไรมีคุณค่าบ้าง สิ่งที่สำคัญคือครอบครัว ตัวเราเอง รอยยิ้มที่เรามีในทุก ๆ วัน
[embed-health-tool-ovulation]