ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส สามารถแพร่กระจายติดต่อผ่านการสัมผัสกับละอองสารคัดหลั่งจากการไอ จาม หรือสูดลมหายใจนำอากาศที่มีการปนเปื้อนของเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย จนนำไปสู่การล้มป่วย ผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่อาจรักษาให้หายเองได้ แต่สำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนและเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
คำจำกัดความ
ไข้หวัดใหญ่ คืออะไร
ไข้หวัดใหญ่ คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza) เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ เช่น จมูก คอ และอาจลุกลามลงไปยังปอด ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย แต่อาจพบได้บ่อยในทารก เด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้สูงอายุ สตรีตั้งครรภ์ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ รวมถึงผู้ที่มีประวัติโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต
ไวรัสไข้หวัดใหญ่แบ่งออกเป็น 4 สายพันธุ์ ได้แก่
- ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ (Influenza A) เป็นสายพันธุ์ที่รุนแรงและอาจแพร่เชื้อได้ในวงกว้างทั้งในคน และในสัตว์ เช่น หมู นก โดยอาจจำแนกได้จากไกลโคโปรตีนรอบเชื้อไวรัส ซึ่งประกอบด้วย ฮีแมกกูตินิน (Hemagglutinin : H) ซึ่งมีทำหน้าที่ในการจับกับตัวรับ (Receptor) บนเซลล์ของร่างกาย ส่งผลให้เชื้อเข้าสู่เซลล์ได้โดยตรง และเอ็นไซม์นิวรามินิเดส และ เอ็นไซม์นิวรามินิเดส (Neuraminidase : N) ซึ่งเป็นเอ็นไซม์ย่อยที่ทำให้ไวรัสจับกับเซลล์ และแพร่เชื้อต่อไปได้ ซึ่งในสัตว์จะมีเชื้อไวรัสฮีแมกกูตินิน (H) อยู่ 15 ชนิด และเอ็นไซม์นิวรามินิเดส (N) 9 ชนิด แต่สำหรับของคนจะมี H3 ชนิด คือ H1 H2 H3 และ N 2 ชนิด คือ N1 N2 นอกจากนี้ ยังมีสายพันธุ์ H5 และ H7 ที่มีความรุนแรงสูง อาจแพร่กระจายจากสัตว์สู่คนได้
- ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี (Influenza B) เป็นไข้หวัดใหญ่ที่แพร่กระจายในคนเพียงเท่านั้น ซึ่งแบ่งออกเป็นอีก 2 สายพันธุ์ คือ Yamagata และ Victoria
- ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ซี (Influenza C) อาจไม่ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยที่รุนแรง และไม่ก่อให้เกิดการระบาด
- ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ดี (Influenza D) เป็นเชื้อไวรัสที่ไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในคน แต่จะส่งผลกระทบต่อวัว
อาการ
อาการไข้หวัดใหญ่
อาการไข้หวัดใหญ่ทั่วไป สามารถสังเกตได้จากสัญญาณเตือนต่าง ๆ ดังนี้
- มีไข้สูงเป็นเวลา 3-4 วัน
- ปวดศีรษะ
- อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล
- อาการไอแห้ง เจ็บคอ
- หนาวสั่น
- อ่อนเพลีย
- อาเจียน ท้องเสีย
- ความอยากอาหารลดลง
อาการที่เป็นสัญญาณโรคไข้หวัดใหญ่รุนแรงในคนแต่ละช่วงวัย ที่ควรเข้าพบคุณหมออย่างเร่งด่วน มีดังนี้
อาการไข้หวัดใหญ่รุนแรงในทารก ได้แก่
- มีไข้ขึ้นสูง 38 องศาเซลเซียส
- หายใจเร็ว หายใจลำบาก
- ไอ น้ำมูกไหล เจ็บคอ
- ท้องเสีย อาเจียนรุนแรง
- ผื่นขึ้น และมีสีผิวเปลี่ยนสีเป็นสีฟ้า
- อาการขาดน้ำ เช่น ไม่ปัสสาวะ
- ไม่อยากให้ใครมาจับ หรือสัมผัสร่างกาย
- บางอาการที่หายแล้ว ก็อาจกลับมาทำให้ทารกเป็นอีกซ้ำ ๆ
อาการไข้หวัดใหญ่รุนแรงในผู้ใหญ่ ได้แก่
- เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 สัปดาห์ มีไข้สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส
- น้ำตาไหล
- หายใจลำบาก หายใจถี่เร็ว
- อาการไอ
- เจ็บหน้าอก โดยเฉพาะบริเวณซี่โครงขณะหายใจเข้า
- ปวดเมื่อยรุนแรง
- มีอาการขาดน้ำ ร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา หรือไม่ปัสสาวะนานกว่า 8 ชั่วโมง และน้ำตาไหล
อาการรุนแรงของไข้หวัดใหญ่ในผู้ใหญ่ ได้แก่
- อาการไข้และอาการไอที่หายไป อาจกลับมาเป็นซ้ำ
- หายใจลำบาก แน่นหน้าอก
- วิงเวียนศีรษะ
- อาการชัก
- ไม่ปัสสาวะ
สาเหตุ
สาเหตุไข้หวัดใหญ่
สาเหตุที่ทำให้เป็นไข้หวัดใหญ่มาจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซาเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ผ่านการสูดดม การสัมผัสกับวัตถุรอบตัวที่มีการปะปนของเชื้อไวรัส เช่น แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ ลูกบิดประตู และนำไปจับสัมผัสส่วนต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น ตา จมูก ปาก
นอกจากนี้ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการพัฒนาสายพันธ์ุตลอดเวลา จึงอาจทำให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ธรรมดาทั่วไปที่อยู่ในร่างกาย เปลี่ยนเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ และไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บีได้
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงไข้หวัดใหญ่
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่ มีดังนี้
- อายุ ไข้หวัดใหญ่อาจพบได้มากในเด็กตั้งแต่อายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
- สตรีตั้งครรภ์ อาจมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์ รวมถึงช่วง 2 สัปดาห์หลังคลอด
- ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ สาเหตุที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเสี่ยงเป็นไข้หวัดใหญ่ อาจมาจากโรคมะเร็ง การติดเชื้อเอชไอวี การปลูกถ่ายอวัยวะ การใช้ยาสเตียรอยด์ในระยะยาว
- โรคเรื้อรัง เช่น โรคปอด โรคหอบหืด โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับระบบประสาท โรคเมตาบอลิซึม โรคตับ โรคไต
- สถานที่ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย หน่วยงาน สถานพยาบาล เป็นต้น อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แพร่กระจายได้
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่
การวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่ คุณหมออาจตรวจร่างกาย เพื่อหาความผิดปกติ บางกรณีอาจทดสอบด้วยเทคนิคพอลิเมอเรส (Polymerase chain reaction หรือ PCR) ที่เป็นกระบวนการสังเคราะห์ดีเอ็นเอในหลอดทดลองหาเชื้อไวรัส การทดสอบด้วยวิธีนี้อาจมีความละเอียดมากกว่าการทดสอบแบบอื่น ๆ และอาจระบุสายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่ได้
การรักษาไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่โดยทั่วไปอาจสามารถหายไปได้เอง ด้วยการพักผ่อนเพียงพอ และดื่มน้ำให้มาก ๆ แต่หากมีการติดเชื้อ หรือมีอาการที่รุนแรงเป็นเวลานาน คุณหมออาจแนะนำให้รับประทานยาต้านไวรัส เช่น โอเซลทามิเวียร์ ซานามิเวียร์ เพอรามิเวียร์ บาล็อกซาเวียร์ เพราะอาจช่วยให้ฟื้นตัวจากอาการป่วยได้ไวขึ้น และป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้
สำหรับการรักษาไข้หวัดใหญ่ในเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ควรเข้ารับคำแนะนำจากคุณหมอ และไม่ควรให้เด็กรับประทานยาแอสไพริน เพราะอาจเสี่ยงทำให้เกิดโรคเรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome)
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่
การดูแลตัวเอง และลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ อาจทำได้ด้วยวิธี ดังต่อไปนี้
- ล้างมือด้วยสบู่อย่างน้อย 20 วินาที หรืออาจใช้เจลแอลกอฮอล์หากไปในพื้นที่ที่ล้างมือไม่สะดวก
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณตา จมูก และปาก เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสที่อาจปนเปื้อนอยู่ที่มือ
- ปิดปากขณะไอ และจาม หรืออาจจามใส่ทิชชู่หรือข้อพับแขน เพื่อป้องกันเชื้อแพร่กระจายในวงกว้าง
- สวมใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
- ทำความสะอาดสิ่งรอบตัวและพื้นที่ที่สัมผัสบ่อยครั้ง
- หลีกลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด คนพลุกพล่าน เช่น โรงเรียน สำนักงาน หอประชุม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และลดการแพร่เชื้อ