ไตรกลีเซอไรด์ เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่พบได้ในเลือด ส่วนใหญ่อยู่ในอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ไขมัน เช่น คุกกี้ พาย ของทอด รวมถึงเครื่องดื่มที่มีรสชาติหวาน เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชา น้ำเชื่อม กาแฟที่ใส่น้ำตาล ซึ่งหากร่างกายได้รับมากเกินไปและขาดพฤติกรรมการดูแลตัวเอง เช่น ไม่ออกกำลังกาย เครียด ไม่นอนหลับพักผ่อน ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิต คอเลสเตอรอลในเลือดสูง ที่อาจนำไปสู่ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคอ้วน เพื่อรักษาสุขภาพที่ดีควรลดการรับประทานอาหารที่มีไตรกลีเซอไรด์สูง และเข้ารับการตรวจไตรกลีเซอไรด์อย่างสม่ำเสมอ และรักษาระดับไตรกลีเซอไรด์ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ไตรกลีเซอไรด์ คืออะไร
ไตรกลีเซอไรด์ คือ ไขมันชนิดหนึ่งที่อยู่ในกระแสเลือด ส่วนใหญ่มาจากอาหารในชีวิตประวัน โดยผ่านกระบวนการการย่อยอาหารของกระเพาะอาหาร ผ่านเข้าสู่ลำไส้ที่ผลิตเกลือน้ำดี ช่วยดูดซึมไขมันและถูกสังเคราะห์นำออกผ่านทางตับเป็นไตรกลีเซอไรด์ ส่งไปเก็บไว้ในเซลล์ไขมันตามส่วนต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ เช่น สะโพก แขน ขา หน้าท้อง เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน ไตรกลีเซอไรด์จะถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อร่างกายเกิดการเผาผลาญเท่านั้น ซึ่งถ้าหากไม่มีการเผาผลาญก็อาจก่อให้เกิดการสะสมไตรกลีเซอไรด์จำนวนมาก จนสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น น้ำหนักเพิ่ม อ้วนขึ้น ไขมันพอกบริเวณส่วนต่าง ๆ
ไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอล แตกต่างกันอย่างไร
ไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอล คือ ไขมันต่างชนิดกันที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด โดยไตรกลีเซอไรด์จะกักเก็บแคลอรี่ที่ไม่ได้ใช้มาเผาผลาญเป็นพลังงานให้แก่ร่างกาย แต่สำหรับคอเลสเตอรอลนั้น เป็นไขมันที่สร้างเซลล์และฮอร์โมนบางชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย
ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
การตรวจ ไตรกลีเซอไรด์ สามารถตรวจได้ผ่านการเก็บตัวอย่างเลือด โดยการเข้ารับการตรวจจากคุณหมอ หรือซื้อเครื่องตรวจไขมันในเลือดมาตรวจด้วยตัวเอง จากนั้นให้อ่านผลลัพธ์ของค่าไตรกลีเซอไรด์บนหน้าจอ แล้วนำมาเปรียบเทียบกับผลลัพธ์ได้ ดังนี้
- ไตรกลีเซอไรด์ระดับปกติ น้อยกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ไตรกลีเซอไรด์ระดับปานกลาง 150-199 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ไตรกลีเซอไรด์ระดับสูง 200-499 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ไตรกลีเซอไรด์ระดับสูงมาก 500 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไป
ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ
หากร่างกายมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง อาจส่งผลให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะก่อนเบาหวาน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ ตับอ่อนอักเสบ ภาวะความดันโลหิตสูง โรคอ้วน
สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ดังต่อไปนี้ ควรดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี เพราะอาจทำให้สุขภาพได้รับผลกระทบจากระดับไตรกลีเซอไรด์สูง
- ผู้ที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป ที่มีระดับคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) มากกว่า 190 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ผู้ใหญ่ที่เป็นเบาหวาน หรือมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดในสมอง และมีระดับคอเลสเตอรอลไม่ดี 70-189 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ผู้ใหญ่ที่มีอาการหัวใจวาย เส้นเลือดตีบ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดอื่น ๆ จากการรักษาด้วยการผ่าตัดบายพาส การทำเคมีบำบัด
ควรตรวจ ไตรกลีเซอไรด์ บ่อยแค่ไหน
การตรวจไตรกลีเซอไรด์สำหรับเด็กอายุ 9-11 ปี ควรตรวจอย่างน้อย 1 ครั้ง และเข้ารับการตรวจอีกครั้งเมื่ออายุ 17-21 ปี และสำหรับผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีควรตรวจทุก ๆ 4-6 ปี
วิธีการลดไตรกลีเซอไรด์ด้วยตัวเอง
สำหรับวิธีลดไตรกลีเซอไรด์ด้วยตัวเอง อาจทำได้ดังนี้
1. ไม่ควรอดอาหารและรับประทานอาหารมากเกินไป ยิ่งรับประทานอาหารในแต่ละมื้อมากเท่าไหร่ ก็อาจทำให้ร่างกายได้รับไตรกลีเซอไรด์มากเท่านั้น ควรรับประทานอาหารแต่พอดี หากรับประทานไม่หมดควรเก็บไว้รับประทานภายหลัง นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ เพราะการอดอาหารอาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร พลังงาน และไม่ช่วยให้ไตรกลีเซอไรด์ลดลง ดังนั้น ควรแก้ไขปัญหาโดยการควบคุมอาหารและเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2. เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เพิ่มปริมาณผัก ผลไม้ ธัญพืช เนื้อสัตว์ไร้ไขมันในแต่ละมื้อ เช่น ผักใบเขียว ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง ขนมปังโฮลเกรน ข้าวกล้อง อัลมอนด์ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และลดปริมาณอาหารประเภทไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น เนื้อแดง เนื้อหมู เนย อาหารทอด ครีม ข้าวขาว ขนมปังขาว
3. ออกกำลังกายเป็นประจำ อาจช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันจากอาหารเปลี่ยนเป็นพลังงาน รักษาระดับน้ำตาลในเลือด รวมถึงรักษาน้ำหนักตัวให้สมดุล ควรออกกำลังกายวันละ 30 นาที อย่างน้อย 5 วัน/สัปดาห์ เช่น การเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือเข้าพบคุณหมอเพื่อขอคำปรึกษาถึงรูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับภาวะสุขภาพ
4. จำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ ไวน์ ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการบริโภค ผู้หญิงอาจดื่มได้วันละ 1 แก้ว ผู้ชายวันละ 2 แก้ว ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีรสชาติหวาน น้ำอัดลม เพื่อป้องกันการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดที่อาจทำให้คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูง โดยควรดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น
5. งดสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่อาจสร้างความเสียหายต่อหลอดเลือด สำหรับผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์อาจเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้
6. ยาลดไตรกลีเซอไรด์ อาจช่วยควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์ โดยคุณหมออาจแนะนำให้รับประทานยา ดังต่อไปนี้
- ไนอะซิน (Niacin) หรือกรดนิโคตินิก (Nicotinic Acid) เป็นวิตามินบี 3 ชนิดละลายน้ำได้ เพื่อช่วยลดคอเลสเตอรอลไม่ดี และไตรกลีเซอไรด์
- กลุ่มยาไฟเบรต (Fibrate) เช่น ฟีโนไฟเบรต (Fenofibrate) เจมไฟโบรซิล (Gemfibrozil) อาจช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ แต่อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคไตและตับ เพราะอาจก่อให้เกิดอาการผิดปกติรุนแรง
- กลุ่มยาสแตติน (Statins) เช่น อะทอร์วาสแตติน (Atorvastatin) โรซูวาสแตติน (Rosuvastatin) เป็นยาลดคอเลสเตอรอล เหมาะสำหรับผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลต่ำ เพื่อลดการอุดตันในหลอดเลือดแดง
- น้ำมันปลา หรือกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพที่อาจช่วยขัดขวางการแข็งตัวของเลือด เพื่อความปลอดภัยควรปรึกษาคุณหมอก่อนรับประทาน
[embed-health-tool-bmr]