backup og meta

อาการปอดอักเสบ และการดูแลตัวเองเมื่อปอดอักเสบ

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย Duangkamon Junnet


เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 24/01/2023

    อาการปอดอักเสบ และการดูแลตัวเองเมื่อปอดอักเสบ

    ปอดอักเสบหรือปอดบวม เป็นโรคจากการติดเชื้อรา แบคทีเรีย หรือไวรัสที่ปอด ซึ่งกลุ่มเสี่ยงของโรค ได้แก่ เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี รวมถึงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ สำหรับ อาการปอดอักเสบ นั้น มักมีไข้ ไอ หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว เจ็บหน้าอก ไม่อยากอาหาร เป็นต้น

    ปอดอักเสบคืออะไร

    ปอดอักเสบ (Pneumonia) หรือบางครั้งเรียกว่าปอดบวม เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อรา เชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรีย ที่ปอดข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง ซึ่งส่งผลให้ปอดมีอาการอักเสบหรือบวม และมีของเหลวหรือหนองอยู่ข้างใน

    โดยทั่วไป หากป่วยด้วยโรคปอดอักเสบ มักมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียและไวรัส มากกว่าเชื้อรา และโรคปอดอักเสบจากแบคทีเรีย ยังพบได้บ่อยกว่าโรคปอดอักเสบจากไวรัส และเมื่อเป็นแล้ว มักมีอาการป่วยที่รุนแรงกว่าด้วย

    นอกจากนี้ ปอดอักเสบอาจเป็นสาเหตุของอาการป่วยขั้นรุนแรงและอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะหากผู้ป่วยเป็นทารก เด็กเล็ก คนชรา หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

    องค์การอนามัยโลกรายงานว่า ในปี พ.ศ. 2562 ปอดอักเสบคร่าชีวิตเด็กไป 740,180 ราย หรือคิดเป็น 14 เปอร์เซ็นต์ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั้งหมดที่เสียชีวิตในปีดังกล่าว

    ในประเทศไทย สถิติของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม พ.ศ. 2565 ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 มีจำนวนทั้งสิ้น 179,211 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากโรคปอดอักเสบ 176 ราย

    อาการปอดอักเสบ เป็นอย่างไร

    โดยทั่วไป เมื่อป่วยเป็นปอดอักเสบ ร่างกายจะเริ่มแสดงอาการหลังปอดติดเชื้อแล้วประมาณ 24-48 ชั่วโมง และในบางครั้ง อาจใช้เวลาหลายวันกว่าร่างกายจะแสดงอาการ

    เมื่อเป็นโรคปอดอักเสบ จะมีอาการดังต่อไปนี้

    • มีไข้ ซึ่งอาจสูงถึง55 องศาเซลเซียส
    • ไอ มีเสมหะ
    • หมดแรง อ่อนเพลีย
    • หายใจเร็วกว่าปกติ
    • หายใจลำบาก
    • หัวใจเต้นเร็ว
    • เหงื่อออกหรือหนาวสั่น
    • เจ็บหน้าอกหรือเจ็บท้อง โดยเฉพาะเมื่อไอหรือหายใจเข้าลึก
    • ไม่อยากอาหาร
    • ผิวหนังเป็นสีเขียวหรือน้ำเงิน เนื่องจากการขาดออกซิเจน
    • มึนงง หรือมีสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไป

    ทั้งนี้ นอกจากอาการข้างต้นแล้ว โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส ยังมีอาการเริ่มต้นคล้ายโรคไข้หวัดใหญ่ร่วมด้วย คือ ไอแห้ง ปวดหัว และปวดกล้ามเนื้อ โดยอาการดังกล่าวมักแย่ลงภายใน 1-2 วัน

    นอกจากนี้ หากทารกหรือเด็กเล็กป่วยเป็นโรคปอดอักเสบ มักมีอาการแตกต่างจากเด็กที่โตกว่าหรือผู้ใหญ่ ดังนี้

    • คำราม และอาจหายใจเสียดัง
    • ไม่สบายตัว
    • ปัสสาวะน้อยลง
    • ผิวซีด
    • ปวกเปียก ไม่มีแรง
    • ร้องไห้มากกว่าปกติ
    • ไม่อยากอาหาร

    ใครเสี่ยงต่อโรคปอดอักเสบบ้าง

    ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรค ปอดอักเสบ มากกว่าคนทั่วไป ได้แก่

    • เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
    • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับปอดและหัวใจ
    • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท ซึ่งทำให้กลืนอาหารลำบาก เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคพาร์กินสัน
    • ผู้ที่นอนโรงพยาบาลหรือต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเป็นเวลานาน
    • ผู้ที่สูบบุหรี่
    • หญิงตั้งครรภ์
    • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เนื่องจากการติดเชื้อเอชไอวี รับยาเคมีบำบัด ยากดภูมิคุ้มกัน หรือเคยได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ

    ปอดอักเสบ หายเองได้หรือไม่

    ผู้ที่ป่วยเป็นโรคปอดอักเสบระดับไม่รุนแรงหรือไม่รบกวนดำเนินชีวิตประจำวัน อาจหายเองได้ภายใน 3-5 วันหรือ 1 เดือน หากดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม

    อย่างไรก็ตาม ควรไปพบคุณหมอ หากพบอาการปอดอักเสบ และอยู่ในกลุ่มที่เสี่ยงต่ออาการป่วยระดับรุนแรงรวมถึงการเสียชีวิตจากโรค

    ทั้งนี้ หากไปพบคุณหมอ คุณหมอจะรักษาด้วยการจ่ายยาลดไข้ ยาแก้อักเสบ รวมถึงยาฆ่าเชื้อรา ไวรัส หรือแบคทีเรียให้

    นอกจากนี้ ในบางราย คุณหมออาจรักษาเพิ่มเติม ด้วยการให้ออกซิเจน ให้น้ำเกลือ หรือดูดของเหลวออกจากปอดให้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค

    ปอดอักเสบ ป้องกันได้อย่างไร

    เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคปอดอักเสบ ควรปรับพฤติกรรมดังนี้

    • ล้างมือสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงในการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
    • งดสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่ทำให้ปอดเสียหาย อีกทั้งเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อเพราะสารนิโคตินทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ
    • จำกัดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและเป็นประจำทุกวัน มีผลทำให้ระบบป้องกันโรคของปอดทำงานแย่ลง
    • ออกกำลังกาย เลือกบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย รวมถึงนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
    • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ รวมถึงโรคที่อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เป็นโรคปอดอักเสบ เช่น วัคซีนโรคโควิด-19 วัคซีนโรคนิวโมคอคคัล (Pneumococcal Disease)

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    Duangkamon Junnet


    เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 24/01/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา