หลายคนได้รับการช่วยเหลือจากโรงพยาบาล แต่หลายคนก็ยังมีความกังวลว่าโรงพยาบาลก็อาจทำให้ป่วยจากการติดเชื้อโรคในโรงพยาบาลได้เช่นกัน ดังนั้น ควรจะต้องทำอย่างไร เพื่อ หลีกเลี่ยงการติดเชื้อในโรงพยาบาล ได้บ้าง เพื่อเวลาไปโรงพยายามแล้วจะได้ไม่ต้องรับโรคต่าง ๆ ที่อาจแพร่กระจายอยู่ ทาง Hello คุณหมอ มีเรื่องนี้มาฝากกัน
วิธี หลีกเลี่ยงการติดเชื้อในโรงพยาบาล
การติดเชื้อในโรงพยาบาลนั้นเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน แต่ไม่เคยได้รับการแก้ไข จนกระทั่งเมื่อ 30 ปีก่อน ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรกที่มีการจัดกิจกรรมควบคุมโรคอย่างจริงจัง และเป็นประเทศที่มีประสบการณ์ในการควบคุมโรคติดเชื้อมากที่สุด ซึ่งวิธีหลีกเลี่ยงการติดเชื้อในโรงพยาบาล สามารถทำได้ดังนี้
ล้างมือ
การล้างมือด้วยสบู่ น้ำ หรือเจลทำความสะอาดมือที่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 60 เปอร์เซ็นต์ สามารถช่วยลดการแพร่กระจาย หรือการติดเชื้อ ซึ่งควรล้างมือทั้งก่อนและหลังที่พบผู้ป่วย การล้างมือถือเป็นวิธีหลีกเลี่ยงการติดเชื้อในโรงพยาบาลที่ง่ายมาก แต่ก็เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนลืมง่ายเช่นกัน
อย่าสัมผัสใบหน้าของคุณ
รู้หรือไม่ว่าคนเรานั้นสัมผัสใบหน้าของเราบ่อยมาก อาจจะ 15 ครั้งต่อชั่วโมง ซึ่งการสัมผัสใบหน้านั้นสามารถแพร่กระจายเชื้อโรคจากมือเราไปยังจมูก ปาก และทางเดินทายใจ ซึ่งทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงไปจนถึงหวัด
การฉีดวัคซีน
ผู้ป่วยที่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลก็ด้วยเหตุผลว่า ระบบภูมิคุ้มกันอาจไม่สามารถรับมือกับการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ บางครั้งสิ่งที่สัมผัสอาจเป็นแหล่งที่มาของการเป็นไข้หวัด ซึ่งระบบภูมิคุ้มกัน ณ ตอนนั้นอาจไม่สามารถต่อสู้ได้ บางครั้งเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ในการดูแลสุขภาพของผู้ป่วย ก็อาจเป็นผู้แพร่กระจายการติดเชื้อไวรัสให้กับผู้ป่วยเสียเอง ดังนั้น การฉีดวัคซีนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อป้องกันผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
หากป่วยควรอยู่บ้าน
หลีกเลี่ยงการไปเยี่ยมผู้ป่วยหากตัวคุณเองก็กำลังป่วยอยู่ หากรู้สึกว่าจะจามควรใช้ทิชชู่หรือแขนเสื้อด้านบนในการปิดจมูกและปาก นอกจากนั้น พยายามอย่าสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ที่อาจทำให้คุณติดเชื้อได้
หลีกเลี่ยงการติดเชื้อในโรงพยาบาล สำหรับบุคคลทั่วไปและบุคลากรทางการแพทย์
ในประเทศไทยนั้น ทางสถาบันบำราศนราดูร ได้จัดทำคู่มือปฏิบัติการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลเอาไว้ เพื่อเป็นแนวทางในปฏิบัติ ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้
การเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาล
- สำรวจว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ โดยใช้ข้อมูลต่อไปนี้
- ไข้ (อุณหภูมิร่างกาย 38 องศาเซลเซียส หรือมากกว่า)
- อาการอื่น ๆ เช่น ไอ อุจจาระร่วง มีหนองไหล เป็นต้น
- การติดเชื้อในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี ประกอบด้วย ไข้ (อุณหภูมิร่างกายวัดทางทวารหนัก 38 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่า) หรือตัวเย็น (อุณหภูมิร่างกายวัดทางทวารหนักต่ำกว่า 37 องศาเซลเซียส) หยุดหายใจ หัวใจเต้นช้า ซึม อาเจียน เป็นต้น
- เม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ
- ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่น ๆ เช่น การย้อมเชื้อ การเพาะเชื้อ ภาพถ่ายรังสี อัลตราซาวด์การตรวจทางวิทยาอิมมูน เป็นต้น
- ถ้ามีการติดเชื้อ เป็นการติดเชื้อที่อวัยวะใดและเชื้อก่อโรคเป็นเชื้ออะไร
- จากการติดเชื้อที่อวัยวะใดและเชื้อก่อโรคเป็นเชื้ออะไร จะทำให้ทราบระยะฟักตัวของการติดเชื้อนั้น ๆ ถ้าผู้ป่วยมีอาการภายในระยะฟักตัวของการติดเชื้อ (ระยะเวลาตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลจนถึงมีอาการ) ให้ถือว่าเป็นการติดเชื้อนอกโรงพยาบาล ถ้าพ้นระยะนี้แล้วอาจะเป็นการติดเชื้อในโรงพยาบาล ซึ่งกรณีที่โรงพยาบาลรับย้ายผู้ป่วยจากโรงพยาบาลอื่น ให้ใช้เกณฑ์ในการวินิจฉัยเช่นเดียวกัน
คำแนะนำทั่วไปสำหรับการวินิจฉัยการติดเชื้อในโรงพยาบาล
- อาศัยเกณฑ์หรือคำจำกัดความของการติดเชื้อแต่ละอวัยวะของร่างกาย
- ในกรณีที่มีข้อมูลจำกัดหรือมีความสงสัยว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ แพทย์ผู้รักษาจะเป็นผู้ให้ความเห็น เพื่อเป็นการชี้ขาดว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ เนื่องจากบางกรณีไม่มีข้อมูลอื่นพิสูจน์ได้ นอกจากแพทย์ผู้ให้การรักษา เช่น ผ่าตัดพบหนอง หรือฝีในช่องท้อง เป็นต้น
- การแปลผลเชื้อที่ตรวจพบว่าเป็นเชื้อก่อโรคจริงหรือไม่ ซึ่งต้องอาศัยความรู้เรื่องเชื้อประจำถิ่น การปนเปื้อนเชื้อ เชื้อก่อโรคในอวัยวะต่าง ๆ ว่า พบเชื้ออะไรเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามีข้อสงสัยให้ซักถามแพทย์หรือห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยาว่า เชื้อที่พบนั้นเป็นเชื้อก่อโรคหรือเป็นเชื้อที่ปนเปื้อน
วิธีการควบคุมการระบาดของการติดเชื้อในโรงพยาบาล
- แยกผู้ป่วย
- ให้การรักษา
- ตรวจสอบและจัดการปัจจัยที่เป็นแหล่งของเชื้อ
- ให้แนวทางปฏิบัติแก่ผู้เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมการระบาดและป้องกันการเกิดซ้ำ
ข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดมือ
- การล้างมือด้วยน้ำกับสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ เมื่อมือเปื้อนสิ่งสกปรกที่เห็นได้อย่างชัดเจน
- การถูมือด้วยแอลกอฮอล์ เนื่องจากการล้างมือด้วยน้ำ อาจทำให้บุคลากรทางสุขภาพต้องเสียเวลาในการทำงานไปกับการทำความสะอาดมือ
- การใส่ถุงมือของบุคลากรสุขภาพช่วยลดการปนเปื้อนเชื้อจุลชีพจากผู้ป่วยได้ นอกจากนี้ถุงมือยังป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจุลชีพประจำถิ่นบนมือของบุคลากรสุขภาพไปสู่ผู้ป่วย และลดการปนเปื้อนเชื้อจากผู้ป่วยรายหนึ่งแพร่กระจายไปยังผู้ป่วยอีกรายหนึ่ง
- การใส่แหวนขณะปฏิบัติงาน ทำให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อจุลชีพบนมือมากขึ้นและล้างออกไม่หมด นอกจากนี้ยังอาจทำให้ถุงมือรั่วและฉีกขาดได้ง่ายขึ้น
- เล็บที่ยาวเป็นแหล่งสะสมสิ่งสกปรกและเชื้อจุลชีพ การลอกของสีทาเล็บจะทำให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อจุลชีพ นอกจากนี้การต่อเล็บปลอมยังพบว่า ทำให้มีเชื้อจุลชีพปนเปื้อนมากกว่าเล็บธรรมชาติ ทั้งยังทำให้บุคลากรล้างมือน้อยลงและทำให้ถุงมือขาดได้ง่าย
- ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทำความสะอาดมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ อาจส่งผลให้ไขมันในผิวหนังลดลง ทั้งยังทำให้ผิวแห้ง และอักเสบ ดังนั้น บุคลากรที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดผิวหนังแห้ง ควรทาโลชั่นเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง
ข้อแนะนำทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นข้อปฏิบัติที่จะทำให้คุณ และบุคลากรทางการแพทย์ สามารถหลีกเลี่ยงการติดเชื้อในโรงพยาบาลได้ ทั้งยังปกป้องคนรอบตัวที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ไม่ให้ได้รับการแพร่กระจายของการติดเชื้อในโรงพยาบาลอีกด้วย