โรคมะเร็ง คือ โรคที่เกิดจากการเซลล์ในร่างกายเจริญเติบโตมากและเร็วผิดปกติ ทำให้เกิดเซลล์มะเร็งและสะสมเป็นเนื้องอกหรือก้อนเนื้อ มะเร็งบางชนิดอาจไม่แสดงอาการใด ๆ ในระยะแรก แต่โดยทั่วไปอาจสังเกตได้จากอาการเหนื่อยล้าง่าย ไม่อยากอาหาร กลืนอาหารลำบาก ไอเรื้อรัง มีไข้ เหงื่อออกมากในตอนกลางคืน สีผิวเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม หากพบว่าตนเองมีอาการดังกล่าว ควรเข้าตรวจคัดกรองมะเร็ง เพราะหากพบว่าเป็นมะเร็งจะได้เข้ารับ การรักษาโรคมะเร็ง ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการหายขาดจากโรคได้
ปัจจัยเสี่ยงมะเร็ง
ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง มีดังนี้
- อายุที่มากขึ้น ปกติแล้วเซลล์มะเร็งอาจใช้ระยะเวลานานหลายปีกว่าจะพัฒนาเป็นโรคมะเร็งและแสดงอาการ จึงอาจทำให้ตรวจพบโรคมะเร็งได้มากในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม โรคมะเร็งสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ขึ้นอยู่กับภาวะสุขภาพและปัจจัยเสี่ยงของแต่ละบุคคล
- กรรมพันธุ์ มะเร็งบางชนิดถ่ายทอดทางพันธุกรรมไปสู่บุตรหลานได้ หากสมาชิกในครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีความเสี่ยงนี้อาจไม่เป็นโรคมะเร็งเสมอไป
- ภาวะสุขภาพ ผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางประการ เช่น ลำไส้ใหญ่อักเสบหรือเป็นแผลเรื้อรัง อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งบางชนิดได้ เช่น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก หากสังเกตเห็นว่าตนเองมีอาการผิดปกติ หรือมีโรคประจำตัวอื่น ๆ ควรรีบเข้าพบคุณหมอเพื่อตรวจวินิจฉัยและหาวิธีดูแลรักษาที่เหมาะสม
- สภาพแวดล้อม การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสารก่อมะเร็ง เช่น ควันบุหรี่ สารเคมีในที่ทำงานอย่างแร่ใยหิน เบนซีน นิกเกิล อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้ หากสูดดมหรือสัมผัสสารเคมีเหล่านี้เป็นเวลานาน
- พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก การสูบบุหรี่ การตากแดด รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันซึ่งอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งบางชนิดได้
วิธี การรักษาโรคมะเร็ง
วิธีรักษามะเร็งมีด้วยกันหลายวิธี คุณหมอจะเลือกวิธีรักษามะเร็งให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายมากที่สุด โดยพิจารณาจากชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค ภาวะสุขภาพของผู้ป่วย เป็นต้น
วิธี รักษามะเร็ง ด้วยเทคนิคทางการแพทย์
1. การผ่าตัดรักษามะเร็ง
คุณหมออาจให้ยาระงับความรู้สึกหรือยาสลบ เช่น การให้ยาชาเฉพาะส่วน การดมยาสลบทั่วร่างกาย ก่อนจะกรีดแผลให้ได้ตามขนาดที่ต้องการ เพื่อให้สามารถนำเซลล์มะเร็งออกให้ได้มากที่สุด บางกรณีอาจใช้วิธีกรีดแผลขนาดเล็กที่ผิวหนังใกล้บริเวณที่ต้องการผ่าตัด แล้วผ่าตัดส่องกล้องหรือผ่าตัดผ่านกล้อง โดยการสอดท่อที่ติดกล้องและไฟฉายขนาดเล็กไว้ที่ปลายท่อ ซึ่งจะส่งภาพมาที่หน้าจอมอนิเตอร์ ทำให้คุณหมอสามารถผ่าตัดได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ ยังอาจใช้วิธีการผ่าตัดด้วยเลเซอร์ เพื่อลดขนาดเนื้องอกที่เสี่ยงเติบโตเป็นเซลล์มะเร็ง
ผลข้างเคียงของการผ่าตัดรักษามะเร็ง เช่น
อาการปวดแผลและบริเวณโดยรอบ การติดเชื้อหลังการผ่าตัด ที่อาจสังเกตได้จากอาการบวมหรือเลือดออกบริเวณแผลผ่าตัด ผลข้างเคียงภาวะจากการดมยาสลบ เช่น คลื่นไส้ นอนไม่หลับ 2. การจี้หรือสลายเนื้องอกด้วยความเย็น (Cryoablation)
คุณหมออาจให้ยาระงับความรู้สึกหรือยาสลบ เช่น การให้ยาชาเฉพาะส่วน การดมยาสลบทั่วร่างกาย ก่อนกรีดแผลขนาดเล็ก แล้วสอดเข็มที่เรียกว่า Cryoprobe ที่บรรจุไนโตรเจนเหลวไว้เข้าไปที่ก้อนเนื้องอกผ่านแผลที่กรีด ความเย็นจากไนโตรเจนเหลวจะทำให้ก้อนเนื้องอกเป็นน้ำแข็งและตายในที่สุด วิธีนี้เหมาะสำหรับการรักษามะเร็งกระดูก มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งไต มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น
ผลข้างเคียงของการจี้หรือสลายเนื้องอกด้วยความเย็น (Cryoablation) เช่น
- เนื้อเยื่อโดยรอบอาจเสียหาย
- การติดเชื้อจากการผ่าตัดเปิดผิวหนัง
- เส้นประสาทเสียหาย ส่งผลให้รู้สึกอ่อนแรง มีอาการชา
- เลือดออกบริเวณแผลผ่าตัด
- ผลข้างเคียงจากการดมยาสลบ เช่น คลื่นไส้ นอนไม่หลับ
3. การให้ความร้อนเฉพาะที่หรือไฮเปอร์เธอเมีย (Hyperthermia)
เป็นการทำให้ร่างกายหรือเนื้อเยื่อในบริเวณที่ต้องการร้อนขึ้นด้วยความร้อนประมาณ 45 องศาเซลเซียสจากคลื่นวิทยุความถี่ 8 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) วิธีนี้จะช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่ออื่น ๆ โดยรอบ โดยปกติแล้วจะใช้ร่วมกับการรักษามะเร็งวิธีอื่น เช่น การฉายรังสี เคมีบำบัด ซึ่งอาจช่วยให้เนื้องอกเล็กลง จนฆ่าเซลล์มะเร็งด้วยความร้อนได้ผลมากขึ้น วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งไส้ติ่ง มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปอด มะเร็งทวารหนัก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจยังไม่เป็นที่นิยมนัก และมีเฉพาะสถานพยาบาลบางแห่งเท่านั้น
ผลข้างเคียงของการให้ความร้อนเฉพาะที่หรือไฮเปอร์เธอเมีย เช่น
- เนื้อเยื่ออาจเป็นแผลพุพอง
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ท้องร่วง
- เจ็บปวดจนไม่สบายตัว
- เลือดออกหรือมีลิ่มเลือด
- ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด แต่พบได้ไม่บ่อยนัก
4. การฉายรังสี
การฉายรังสีอาจช่วยทำให้เนื้องอกหดตัว ชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง แต่ไม่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ในทันที และอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาหลายครั้ง หรือรับการรักษาควบคู่กับการผ่าตัด เคมีบำบัด เพื่อขจัดเซลล์มะเร็งที่เหลือ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งศีรษะ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก เนื้องอกในต่อมไร้ท่อ เป็นต้น
ผลข้างเคียงของการฉายรังสี เช่น
- คลื่นไส้
- มีแผลในช่องปาก
- หลอดอาหารอักเสบ
5. เคมีบำบัด หรือ คีโม (chemotherapy)
เป็นวิธีรักษามะเร็งที่ช่วยชะลอหรือหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ส่งผลให้ขนาดของก้อนมะเร็งเล็กลง และบรรเทาอาการเจ็บปวดจากโรคมะเร็ง โดยอาจได้รับผ่านทางช่องปาก หลอดเลือดดำ ช่องท้อง กล้ามเนื้อแขนขา สามารถรักษาก่อนหรือหลังการผ่าตัด การฉายรังสี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้ดียิ่งขึ้น
ผลข้างเคียงของเคมีบำบัด เช่น
- ผิวหนังมีปัญหา เช่น ผิวแดงคล้ายผิวไหม้แดด สีผิวเข้มขึ้น ผิวแห้ง คันผิวหนัง
- เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร
- กลืนอาหารลำบาก
- มีแผลในช่องปาก
- ผมร่วง
- คลื่นไส้
- ท้องร่วง
- ส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศและการมีบุตร
6. ภูมิคุ้มกันบำบัด
เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ภูมิคุ้มกันซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจจับสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค และเซลล์ที่ผิดปกติภายในร่างกาย ทั้งยังคอยต่อสู้กับการติดเชื้อที่อาจนำไปสู่โรคมะเร็ง และควบคุมการเจริญเติบโตของมะเร็งด้วย ส่วนใหญ่ คุณหมอจะให้ภูมิคุ้มกันบำบัดผ่านทางหลอดเลือดดำ ช่องปาก ผิวหนัง หรือกระเพาะปัสสาวะโดยตรง
ผลข้างเคียงของภูมิคุ้มกันบำบัด เช่น
อาการเจ็บปวด บวม และคัน บริเวณที่ได้รับภูมิคุ้มกันบำบัด มีไข้ หนาวสั่น เหนื่อยล้า ใจสั่น ท้องเสีย 7. ฮอร์โมนบำบัด
ช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเนื้องอกมะเร็ง ลดความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำ ส่วนใหญ่มักใช้รักษามะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก หรือตามดุลยพินิจของคุณหมอ ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง ระยะของมะเร็ง สุขภาพของผู้ป่วย เป็นต้น โดยปกติแล้ว จะให้ฮอร์โมนบำบัดผ่านทางปาก การฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อ แขน ขา สะโพก หรือหน้าท้อง
ผลข้างเคียงของฮอร์โมนบำบัด เช่น
- คลื่นไส้
- ท้องเสีย
- เหนื่อยล้า
- ความต้องการทางเพศลดลง
- ผู้หญิงอาจมีอารมณ์เปลี่ยนแปลง ช่องคลอดแห้ง
- ผู้ชายอาจมีหน้าอกขยาย
8. การรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า
เป็นการรักษามะเร็งด้วยยาหรือโปรตีนที่เรียกว่า โมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal antibody) เพื่อมุ่งเป้าในการชะลอการเจริญเติบโต การแพร่กระจาย การแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง และฆ่าเซลล์มะเร็ง นิยมรักษาควบคู่กับการฉายรังสี หรือเคมีบำบัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
ผลข้างเคียงของการรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า เช่น
- ผิวแห้ง มีผื่นขึ้น
- เล็บเปลี่ยนสี
- เมื่อยล้า
- ผมร่วง
- ท้องเสีย
- ปัญหาเกี่ยวกับตับและทางเดินอาหาร
9. การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์
การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดไม่ใช่วิธีรักษามะเร็งโดยตรง แต่เป็นวิธีที่ช่วยฟื้นฟูสเต็มเซลล์ซึ่งทำหน้าที่สร้างเนื้อเยื่อในแต่ละส่วนของร่างกาย เช่น สเต็มเซลล์เลือด ที่ร่างกายสูญเสียไปหรือเสียหายจากเคมีบำบัด การฉายรังสีรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น
ผลข้างเคียงการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์
อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติ การติดเชื้อ ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง ตับ ลำไส้ และอวัยวะอื่น ๆ
วิธีดูแลตัวเองที่อาจช่วยลดความเสี่ยงมะเร็ง
วิธีดูแลตัวเองเหล่านี้ อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ควรรับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี เนื้อสัตว์ไร้ไขมันให้มากขึ้น และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว เนื้อแดง เป็นต้น
- ออกกำลังกายเป็นประจำ ควรออกกำลังกายในระดับความเข้มข้นปานกลาง เช่น เดินเร็ว แอโรบิคในน้ำ ปั่นจักรยานอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ เพื่อรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งชนิดต่าง ๆ เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งไต มะเร็งปอด
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การลดหรือเลิกบุหรี่อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้ เนื่องจากบุหรี่มีสารเคมีที่เป็นสารก่อมะเร็งมะเร็งปอด มะเร็งในช่องปาก มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งมดลูก มะเร็งตับ เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการตากแดดเป็นเวลานาน เพราะรังสียูวีในแสงแดดอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนัง หากเป็นไปได้ ควรงดออกแดดในช่วงที่แดดจัด คือ ช่วงเวลา 10.00-16.00 น. หรือป้องกันตัวเองด้วยการทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป และทาครีมกันแดดซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง รวมถึงสวมเสื้อผ้าแขนยาวขายาว หมวกปีกกว้าง แว่นตากันแดด และกางร่มกันแดด
- จำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ไวน์ เบียร์ ในปริมาณที่พอดี โดยผู้หญิงอาจควรดื่มวันละ 1 แก้ว ผู้ชายวันละ 2 แก้ว เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ มะเร็งในช่องปาก มะเร็งกล่องเสียง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารก่อมะเร็ง สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องทำงานใกล้ชิดกับสารก่อมะเร็ง เช่น แร่ใยหิน เบนซีน โพลีคลอริเนตไบฟีนิล (Polychlorinated biphenyls) อะโรมาติกเอมีน (Aromatic amines) ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเพื่อไม่ให้ร่างกายสัมผัสกับสารเคมีโดยตรง
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เนื่องจากอาจติดเชื้อไวรัสผ่านทางเลือดหรือสารคัดหลั่ง โดยเฉพาะเชื้อเอชพีวี (HPV) ที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งทวารหนัก มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งช่องคลอด มะเร็งองคชาต
- ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็ง อาจไม่มีวัคซีนที่ป้องกันมะเร็งได้โดยตรง แต่สามารถฉีดวัคซีนอื่น ๆ เช่น วัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรคดังกล่าวที่สามารถนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งได้
- ตรวจคัดกรองมะเร็ง ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งเป็นประจำ เพราะหากตรวจพบโรคมะเร็ง หรือภาวะผิดปกติที่อาจนำไปสู่โรคมะเร็ง จะได้รักษาได้อย่างทันท่วงที