‘มะเร็ง’ โรคร้ายที่สามารถเกิดได้กับร่างกายทุกส่วน และเมื่อเกิดขึ้นแล้วเซลล์มะเร็งจะขัดขวางการทำงานให้ร่างกายอ่อนแอลง ส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีกต่อไป และหากกล่าวถึงวิธีการรักษาหลักๆ สำหรับโรคมะเร็งแล้ว หลายคนน่าจะพูดถึงการรักษาด้วยการผ่าตัด การใช้ยาเคมีบำบัด หรือการฉายแสง ซึ่งวิธีการรักษาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีทางเลือกการรักษาแบบใหม่คือ ‘Immunotherapy’ หรือ ภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยได้
สนใจ “ยาภูมิคุ้มกันบำบัด” อ่านเพิ่มเติมได้ คลิก!
Immunotherapy คือ อะไร?
ภูมิคุ้มกันบำบัด หรือ Immunotherapy คือ วิธีการรักษาโรคมะเร็งรูปแบบใหม่ โดยการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อช่วยให้สามารถตรวจจับและทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยปกติ เซลล์มะเร็งนั้นมีความสามารถในการหลีกเลี่ยงการตรวจจับของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เซลล์มะเร็งรอดจากการถูกทำลาย และแพร่กระจายลุกลามมากขึ้น แต่ภูมิคุ้มกันบำบัดจะออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้เม็ดเลือดขาวสามารถตรวจพบและกำจัดเซลล์มะเร็งได้ และช่วยควบคุมการลุกลามของเซลล์มะเร็ง โดยที่ผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะทนต่อยาได้ดี
Immunotherapy นั้นแตกต่างจากการรักษาโรคมะเร็งรูปแบบอื่น เนื่องจาก Immunotherapy ไม่ได้เข้าทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง แต่จะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในการทำลายเซลล์มะเร็ง
Immunotherapy แบ่งออกได้หลายประเภท ตามกลไกการทำงาน เช่น แอนติบอดี้ เซลล์รักษา หรือวัคซีนรักษา ซึ่งการใช้แอนติบอดี้ที่ยับยั้งเช็คพอยต์ (Checkpoint Inhibitor) เป็นวิธีที่นิยมอย่างแพร่หลายที่นำมาใช้มาใช้ในการรักษามะเร็งในปัจจุบัน
มะเร็งกับการรักษาด้วย Immunotherapy
โรคมะเร็ง เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ในร่างกายที่กลายพันธุ์และเจริญเติบโตผิดปกติ หรือที่เรียกว่า เซลล์มะเร็ง ซึ่งมักจะสามารถหลบหลีกการตรวจจับของภูมิคุ้มกัน และพัฒนากลายเป็นโรคมะเร็งในที่สุด
การตรวจพบเซลล์มะเร็งตั้งแต่ในระยะแรก ๆ อาจทำให้มีโอกาสหายจากโรคมะเร็งได้มากกว่าการรักษามะเร็งในระยะหลัง ๆ เนื่องจากเซลล์มะเร็งอาจลุกลามและแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแล้ว ปัจจุบันมีการนำยาภูมิคุ้มกันบำบัดมาใช้ในการรักษามะเร็งบางชนิดก่อน รวมไปถึงภายหลังการผ่าตัด เพื่อลดการกลับมาเป็นซ้ำ และเพิ่มโอกาสหายจากโรคมะเร็งได้มากยิ่งขึ้น
โดยจุดเด่นของการรักษามะเร็งด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัด คือ
- ภูมิคุ้มกันบำบัดอาจได้ผล เมื่อผู้ป่วยไม่ตอบสนองด้วยการรักษาวิธีอื่น โรคมะเร็งบางชนิด เช่น โรคมะเร็งผิวหนัง อาจไม่ตอบสนองต่อการรักษามะเร็งด้วยการฉายรังสีบำบัดหรือเคมีบำบัด แต่อาจตอบสนองต่อการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาโรคมะเร็ง เมื่อใช้ควบคู่กับวิธีการรักษาแบบอื่น การรักษาโรคมะเร็งประเภทอื่น ๆ เช่น การทำเคมีบำบัด การฉายรังสีบำบัด อาจมีประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งเพิ่มมากขึ้นหากทำร่วมกับ Immunotherapy
- ผลข้างเคียงน้อยกว่า ผู้ป่วยจึงมีแนวโน้มที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี Immunotherapy คือ รูปแบบการรักษามะเร็งที่ผู้ป่วยมีแนวโน้มทนต่อยาได้ดี มีผลข้างเคียงที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับการรักษามะเร็งแบบดั้งเดิม จึงอาจช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระหว่างการรักษาโรคมะเร็ง
ประสิทธิภาพการรักษามะเร็งด้วย Immunotherapy
Immunotherapy คือ วิธีที่ได้รับการยืนยันว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาโรคมะเร็งหลายชนิด อีกทั้งยังมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการใช้ Immunotherapy เพื่อรักษาโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตัวอย่างโรคมะเร็งที่มีการศึกษาการใช้ Immunotherapy ในการรักษา ได้แก่
- โรคมะเร็งเต้านม
- โรคมะเร็งปอด
- โรคมะเร็งศีรษะและลำคอ
- โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- โรคมะเร็งปากมดลูก
อย่างไรก็ตาม การรักษามะเร็งโดยการใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดอาจเหมาะสมกับผู้ป่วยบางกลุ่มเท่านั้น ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาเพิ่มเติมสำหรับการรักษาที่เหมาะกับต่อไป
ผลข้างเคียงของ Immunotherapy
Immunotherapy อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และทำให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ ดังนี้
- ปวดหัว
- ระบบไทรอยด์ทำงานผิดปกติ
- รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง
- ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ
- คลื่นไส้
- ท้องเสีย
โดยปกติ อาการข้างเคียงที่ไม่รุนแรง ส่วนมากจะรักษาตามอาการ โดยไม่จำเป็นต้องหยุดยา
นอกจากนี้ บางคนอาจมีอาการข้างเคียงทางผิวหนังต่อการทำภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการบวม ผื่นแดง อาการคัน หรืออาการปวดบริเวณที่ให้ยา อีกทั้งการใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่ออวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น ลำไส้ ตับ และปอด อีกด้วย
Immunotherapy เป็นวิธีการรักษามะเร็งรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพและผู้ป่วยสามารถทนต่อยาได้ดี อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษานี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงและอาจไม่ได้เหมาะสมสำหรับทุกคน ดังนั้น จึงควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดรวมถึงปรึกษาคุณหมอก่อนเสมอ