เบาหวานอาการที่สังเกตได้สังเกตได้ชัดคือ อาการหิวบ่อย ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมากขึ้น ปากแห้ง ตาพร่า นอกจากนี้ยังอาจมีอาการที่แตกต่างกันตามโรคเบาหวานแต่ละชนิด การทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการของโรคเบาหวาน อาจสามารถช่วยให้ผู้ป่วยรู้ตัวไว สามารถเข้ารับการรักษาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และป้องกันไม่ให้เกิดอาการที่รุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้
เบาหวานอาการเป็นอย่างไร
อาการเริ่มต้นของเบาหวานทั้ง 2 ประเภทที่คล้ายคลึงกัน มีดังนี้
- หิวบ่อยและอ่อนเพลีย ร่างกายจะเปลี่ยนอาหารเป็นกลูโคสเพื่อให้เซลล์ดูดซึมและใช้เป็นพลังงาน โดยมีอินซูลินช่วยดูดซึมกลูโคส หากร่างกายสร้างอินซูลินได้ไม่เพียงพอหรือเซลล์ต่อต้านอินซูลิน ก็ไม่สามารถดูดซึมกลูโคสไปเป็นพลังงานให้ร่างกายได้ ทำให้มีอาการหิวบ่อยและเหนื่อยมากกว่าปกติ
- ปัสสาวะบ่อยและกระหายน้ำมากขึ้น โดยปกติคนทั่วไปจะปัสสาวะประมาณวันละ 4-7 ครั้ง แต่ผู้ป่วยเบาหวานอาจปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถดูดซึมกลูโคสได้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ร่างกายจึงต้องผลิตปัสสาวะมากขึ้นเพื่อขับน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย และเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำมากจึงส่งผลให้ผู้ป่วยกระหายน้ำมากขึ้นตามไปด้วย
- ปากแห้งและคันผิวหนัง เนื่องจากร่างกายขับของเหลวออกปริมาณมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำและสูญเสียความชุ่มชื้น จนผิวแห้ง ปากแห้ง และมีอาการคันที่ผิวหนัง
- ตาพร่ามัว การเปลี่ยนแปลงระดับของเหลวในร่างกายอาจทำให้เลนส์ในดวงตาบวมซึ่งส่งผลต่อการโฟกัสของดวงตา และทำให้มีอาการมองเห็นไม่ชัดได้
- น้ำตาลในเลือดสูง หมายถึงภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 180 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น กระหายน้ำมาก ปัสสาวะมาก ตาพร่า หิวมากขึ้น ชาที่เท้า เหนื่อยล้า ปัสสาวะมีน้ำตาล น้ำหนักลด ติดเชื้อทางช่องคลอดและผิวหนัง แผลหายช้า
- น้ำตาลในเลือดต่ำ หมายถึงภาวะที่ระดับน้อยกว่า 70 มิลลิกรัม / เดซิลิตร ทำให้เกิดอาการสั่น วิตกกังวล เหงื่อออก สับสน เวียนหัว หิวเพิ่มขึ้น ง่วงนอน ร่างกายอ่อนแอ รู้สึกเสียวซ่าหรือชาที่ริมฝีปาก ลิ้น หรือแก้ม
อาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 1
อาการของโรคเบาหวานประเภทที่ 1 อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง บางคนอาจมีอาการเกิดขึ้นภายในไม่กี่วัน หรือบางคนอาจมีอาการเกิดขึ้นประมาณ 2-3 สัปดาห์ สามารถสังเกตได้ ดังนี้
- น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายไม่สามารถดูดซึมพลังงานจากอาหารได้ ทำให้ร่างกายเริ่มเผาผลาญกล้ามเนื้อและไขมันเพื่อใช้เป็นพลังงานแทน จึงส่งผลให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
- คลื่นไส้และอาเจียน เมื่อร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลกลูโคสในเลือดได้ จึงต้องหันไปใช้พลังงานจากไขมัน ซึ่งการเผาผลาญไขมันจะทำให้เกิดคีโตนขึ้นมา ซึ่งหากมีในปริมาณมากอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เรียกว่า ภาวะเลือดเป็นกรด (Ketoacidosis) ทำให้อาจมีอาการคลื่นไส้และอาเจียน
อาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 2
อาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มักแสดงอาการเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ทำให้สังเกตอาการได้ยาก โดยอาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อาจพัฒนาขึ้นและแสดงอาการในวัยผู้ใหญ่ ดังนี้
- การติดเชื้อยีสต์ ผู้ป่วยเบาหวานอาจติดเชื้อยีสต์ได้ โดย ภาวะน้ำตาลในเลือดที่สูงจะทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้ไม่ดีในการกำจัดเชื้อโรค นอกจากนี้ น้ำตาลในเลือดเองก็เป็นสิ่งที่เชื้อราหรือยีสต์ใช้เป็นอาหารในการเจริญเติบโตอีกด้วย ซึ่งยีสต์อาจเจริญเติบโตในที่ชื้นและอบอุ่น เช่น ซอกนิ้วเท้า ใต้ราวนม ขาหนีบ
- แผลหายช้า น้ำตาลในเลือดสูงอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดและทำให้เส้นประสาทถูกทำลาย ทำให้ร่างกายไม่สามารถรักษาบาดแผลได้ การสมานตัวของแผลจึงช้าลงตามไปด้วย
- ปวดหรือชาที่เท้าหรือขา เกิดจากความเสียหายของเส้นประสาทเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง อาจทำให้มีอาการสูญเสียความรู้สึกและเสี่ยงบาดเจ็บได้ง่าย เช่น เดินสะดุดจนเป็นแผลแต่ไม่รู้ตัว
- น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว เกิดจากร่างกายเริ่มเผาผลาญกล้ามเนื้อและไขมันเพื่อใช้เป็นพลังงานแทน จึงส่งผลให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
อาการโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
อาการของโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์อาจไม่แสดงอาการออกมาเป็นพิเศษ แต่อาจทำให้รู้สึกกระหายน้ำมากกว่าปกติและปัสสาวะบ่อยขึ้น
เบาหวานอาการโคม่า (Hyperosmolar hyperglycemic nonketotic syndrome)
พบในผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงทั้ง 2 ประเภท แต่พบมากในเบาหวานประเภทที่ 2 มักเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงและขาดน้ำอย่างรุนแรง ดังนี้
- น้ำตาลในเลือดสูงกว่า 600 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- กระหายน้ำมาก ปากแห้ง ผิวอุ่นและแห้ง ไม่มีเหงื่อ
- ไข้สูง ร่างกายอ่อนแอ
- ง่วงนอนหรือสับสน เห็นภาพหลอน
- สูญเสียการมองเห็น
การป้องกันโรคเบาหวาน
สามารถป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้ด้วยวิธี ดังนี้
- ลดน้ำหนักส่วนเกิน จะช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคเบาหวานได้ โดยเปลี่ยนมาลดการรับประทานอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน หันมารับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้น คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง คีนัว รับประทานโปรตีนไม่ติดมัน และไขมันดี เช่น อะโวคาโด น้ำมันรำข้าว รวมทั้งการออกกำลังกายที่ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันและควบคุมน้ำหนัก
- เคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น ด้วยวิธีออกกำลังกายหรือทำกิจกรรม เช่น ทำสวน ทำงานบ้าน จะช่วยลดน้ำหนัก ลดน้ำตาลในเลือด และช่วยเพิ่มการทำงานของอินซูลิน
- เลือกรับประทานผักและผลไม้ให้เพิ่มขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ไฟเบอร์ และคาร์โบไฮเดรต อาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาลและลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน
- กินไขมันดี ร่างกายยังต้องการไขมัน จึงควรเลือกรับประทานไขมันดีแทนไขมันเลว เช่น อะโวคาโด ธัญพืช เมล็ดฟักทอง แซลมอน ทูน่า
- หลีกเลี่ยงอาหารฟาสต์ฟู้ดและอาหารที่มีน้ำตาลสูง เนื่องจากอาจทำให้ร่างกายได้รับแคลอรี่มากเกินไป ทำให้น้ำหนักและไขมันส่วนเกินเพิ่มมากขึ้น เสี่ยงเกิดโรคเบาหวาน
[embed-health-tool-bmi]