prediabetes คือ ภาวะก่อนเบาหวาน หมายถึง ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ แต่ไม่สูงพอที่จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน แต่มีแนวโน้มและเพิ่มความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 การหมั่นดูแลสุขภาพของตนเองอย่างสม่ำเสมอ เช่น การวบคุมอาหาร รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และหมั่นตรวจสุขภาพประจำปี อาจลดความเสี่ยงของการเป็นเบาหวานได้
คำจำกัดความ
prediabetes คือ อะไร
ภาวะก่อนเบาหวาน คือ ภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ แต่ไม่สูงพอที่จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยปกติค่าน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่าง 70-100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หากระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่าง 100-125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร แสดงว่ามีความเสี่ยงภาวะก่อนเบาหวาน โดยส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ
อาการ
อาการของภาวะก่อนเบาหวาน
อาการของภาวะก่อนเบาหวาน ที่พบได้บ่อย คือ สีผิวเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น โดยเฉพาะบริเวณคอ รักแร้ ข้อศอก เข่า ข้อนิ้วมือ รวมถึงอาการอื่น ๆ มีดังนี้
- กระหายน้ำมากขึ้น
- ปัสสาวะบ่อย
- เหนื่อยล้า
- มองเห็นไม่ชัด
สาเหตุ
สาเหตุของ ภาวะก่อนเบาหวาน
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของภาวะก่อนเบาหวาน แต่ได้มีข้อสันนิษฐานว่าพันธุกรรมอาจมีส่วนสำคัญในการเพิ่มปัจจัยเสี่ยง เนื่องจากความผิดปกติในยีนที่ควบคุมกระบวนการผลิตอินซูลิน อาจทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้อย่างเหมาะสม และเมื่อระดับอินซูลินลดลง อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน รวมถึงการขาดออกกำลังหาย ไขมันสะสม ภาวะน้ำหนักเกิน อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้เช่นกัน
โดยปกติน้ำตาลในเลือดเป็นแหล่งพลังงานให้กับส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย เมื่อรับประทานอาหารน้ำตาลจะถูกย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ตับอ่อนจะผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่ดึงน้ำตาลจากเลือดไปให้เซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกาย หากระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจเป็นสาเหตุที่นำไปสู่ภาวะก่อนเบาหวาน
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของภาวะก่อนเบาหวาน
ปัจจัยเสี่ยงของภาวะก่อนเบาหวาน มีดังนี้
- น้ำหนักเกินมาตรฐาน
น้ำหนักเกินมาตรฐานหรือภาวะอ้วน คือ ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า ≥25 เมื่อร่างกายมีการสะสมของไขมัน มากกว่าปกติ อาจทำให้ฮอร์โมนอะดิโปเนคติน (Adiponectin) ที่สร้างจากเนื้อเยื่อไขมันในเลือดต่ำกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน และเพิ่มปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน
- รอบเอว
ผู้ที่มีรอบเอวมากกว่าปกติ โดยผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่า 40 นิ้ว และผู้หญิงที่มีรอบเอวมากกว่า 35 นิ้ว อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะดื้ออินซูลิน
- รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์
การรับประทานอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม นมปรุงแต่งรส ผลไม้แปรรูป อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวาน
- ขาดการออกกำลังกาย
คนที่ขาดการออกกำลังกาย มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะเวลาที่ออกกำลังกายร่างกายจะใช้น้ำตาลในเลือดเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานมากขึ้น และอาจช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
- คนในครอบครัวมีประวัติเคยเป็นโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคที่ถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรม หากสมาชิกในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นโรคเบาหวานมาก่อน อาจเพิ่มความของโรคเบาหวานได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป
- ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ เป็นภาวะที่ส่งผลให้ผู้หญิงมีประจำเดือนผิดปกติ มีลักษณะทางร่างกายที่เปลี่ยนไป เช่น มีขนขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย สิวขึ้น ผมร่วง น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเพิ่มปัจจัยเสี่ยงของภาวะก่อนเบาหวาน
- ปัญหาด้านการนอนหลับ
ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ เช่น การอดนอน นอนไม่เป็นเวลา นอนไม่หลับ อาจทำให้ระดับน้ำตาลสูงกว่าปกติ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของภาวะก่อนเบาหวานและโรคเบาหวานชนิดที่ 2
- มีกลุ่มอาการของโรคอ้วนลงพุง
ผู้ที่มีกลุ่มอาการของโรคอ้วนลงพุง (Metabolic syndrome) ซึ่งสาเหตุที่เชื่อมโยงกับภาวะก่อนเบาหวานนั้น อาจมาจาก ความดันโลหิตสูง มีคอเลสเตอรอล และมีระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์มาก เมื่อถูกสะสมไว้มาก ๆ และไม่มีการปรับพฤติกรรมใด ๆ เพื่อแก้ไข อาจสามารถพัฒนาเข้าสู่โรคเบาหวานได้ในที่สุดเช่นเดียวกัน
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์ทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยภาวะเสี่ยงก่อนเป็นเบาหวาน
วิธีการวินิจฉัยภาวะก่อนเบาหวานหลัก ๆ มี 3 วิธี ดังนี้
- การตรวจระดับน้ำตาลสะสม คือ การทดสอบนี้วัดเปอร์เซ็นต์ของน้ำตาลในเลือด ระหว่าง ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) หรือฮีโมโกลบินปกติ กับไกลโคซิเลต ฮีโมโกลบิน (Glycosylated hemoglobin) หรือฮีโมโกลบินที่มีโมเลกุลของกลูโคสเกาะติดอยู่ เป็นเวลา 2-3 เดือน ระดับน้ำตาลสะสมที่ปกติควรต่ำกว่า 5.7% ระดับน้ำตาลสะสมระหว่าง 5.7 และ 6.4% นั้นถือว่าเป็นภาวะเสี่ยงก่อนเป็นเบาหวาน ระดับ 6.5% หรือมากกว่าในการตรวจทั้งสองรอบที่แยกจากกันจะบ่งชี้ว่าเป็นโรคเบาหวาน
- การวัดระดับกลูโคสในพลาสมา คุณหมอจะใช้ตัวอย่างเลือดหลังจากผู้ป่วยอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง มาตรวจวัดระดับน้ำตาลของเลือด หากระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่าง 100-125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร แสดงว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูง เข้าเกณฑ์โรคเบาหวาน
- การทดสอบความทนทานต่อน้ำตาล คุณหมอจะวัดระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากที่ผู้ป่วยอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เมื่อตรวจวัดระดับเรียบร้อย คุณหมอจะให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเชื่อม แล้วจะทำการวัดระดับน้ำตาลในเลือดอีกครั้ง หากระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่าง 140-199 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถือว่าเป็นภาวะเสี่ยงก่อนเป็นเบาหวาน
การรักษาภาวะก่อนเป็นเบาหวาน
วิธีการรักษาภาวะก่อนเบาหวานที่เหมาะสม คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หากพบอาการผิดปกติจะได้ทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการควบคุมการรับประทานอาหารร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ในกรณีผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงแต่ไม่สูงพอที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน คุณหมออาจแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ยาเพื่อควบคุมระดับอินซูลิน เช่น ยาเมทฟอร์มิน (Metformin) ยากลูโคเฟจ (Glucophage)
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเอง
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเองเพื่อลดความเสี่ยงภาวะก่อนเบาหวาน
วิธีดูแลตนเองเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะก่อนเบาหวาน มีดังต่อไปนี้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เน้นการรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ ผัก ผลไม้ ธัญพืช
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และจำกัดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- ควบคุมความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลภายในร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม โดยมีค่าดัชนีมวลกายระหว่าง 18.5-22.90
[embed-health-tool-bmi]